Redirect คืออะไร มีกี่ประเภท แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร?
การทำ Redirect คือเทคนิคการทำ SEO ที่ช่วยให้เว็บไซต์ไม่เสียทราฟฟิกและคงไว้ในอันดับที่สร้างมา เหมือนเป็นการปูพรมให้ Google เดินไปยังหน้าที่คุณต้องการนั่นเอง
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่เพิ่งเริ่มสร้างเว็บหรือเป็นเจ้าของธุรกิจที่ดูแลเว็บของตัวเอง นอกจากการสร้างหน้าเว็บไซต์ที่อยากจะมีแล้ว การเข้าใจว่า Redirect คืออะไร? ทำงานอย่างไร? ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเปลี่ยนแปลงเส้นทางเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX) และอันดับ SEO บน Google อีกด้วย
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก Redirect แบบเข้าใจง่าย พร้อมยกตัวอย่างเคสต่าง ๆ ที่ต้องทำการ Redirect ประเภทของการทำ Redirect และข้อควรระวังก่อนใช้เครื่องมือ Redirection ที่คุณห้ามพลาด!
ทำความรู้จักกับ Redirect คืออะไร สำคัญต่อ SEO อย่างไร
Redirect แปลว่ากระบวนการเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้งานหรือบอทของ Search Engine จาก URL หนึ่งไปยังอีก URL หนึ่งโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ใช้งานคลิกเข้าหน้าเว็บที่ถูกลบไปแล้ว แต่ระบบพาไปยังหน้าใหม่ที่เกี่ยวข้องแทน
การทำ Redirect มักเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเว็บไซต์ เช่น เปลี่ยน URL ของหน้าเว็บ, ปรับปรุงคอนเทนต์, ย้ายเว็บไซต์ไปโดเมนใหม่ หรือแม้กระทั่งตอนลบหน้าที่ไม่จำเป็นออกจากระบบ เพื่อไม่ให้เกิดหน้า 404 ที่ทำให้ผู้ใช้หลุดออกจากเว็บ
Redirect ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการเปลี่ยนทางผู้ใช้งานเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญกับอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา (SEO) อีกด้วย เช่น
- ช่วยรักษาอันดับ SEO ของหน้าเก่า - ในกรณีที่ใช้ 301 Redirect อย่างถูกต้อง คะแนน SEO จากหน้าเดิมจะถูกส่งต่อมายังหน้าใหม่ ช่วยป้องกันการสูญเสีย Traffic
- ลดปัญหา Broken Link การ Redirect - หน้าที่ลบไปแล้ว ช่วยไม่ให้เกิด 404 Error ซึ่งส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้งานและอันดับเว็บไซต์
- สนับสนุนการทำเว็บไซต์ใหม่ - ในกรณีที่มีการรีแบรนด์หรือเปลี่ยนโดเมน Redirect คือเครื่องมือสำคัญในการย้ายพลัง SEO จากเว็บเก่าไปยังเว็บใหม่ได้
ทำไมจำเป็นต้องทำการ Redirect
สำหรับคนทำเว็บหรือดูแล SEO หนึ่งในคำที่คุณจะได้ยินบ่อยมากคือ Redirect ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการเปลี่ยนเส้นทางลิงก์เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างราบรื่น ป้องกันข้อผิดพลาด และรักษาอันดับ SEO ได้ด้วย
แต่คำถามคือ เมื่อไหร่ล่ะที่เราควรทำ Redirect? ไม่ใช่ทุกครั้งที่เปลี่ยนอะไรในเว็บจะต้อง Redirect เสมอไป แต่ถ้าเจอสถานการณ์เหล่านี้ บอกเลยว่า “จำเป็นต้องทำ” เพื่อป้องกันทั้งปัญหา UX และอันดับ SEO หาย
- ในกรณีที่เปลี่ยน URL ของหน้าเว็บ หากคุณเปลี่ยน URL จาก /about-us เป็น /about โดยไม่ทำ Redirect หน้าเก่าจะกลายเป็นหน้าว่าง (error 404) ซึ่งส่งผลเสียทั้งต่อผู้ใช้และอันดับ SEO
- ในกรณีที่ย้ายเว็บไซต์ไปโดเมนใหม่ เช่น ย้ายจาก example-old.com ไปยัง example-new.com การ Redirect ช่วยให้ผู้ใช้และ Google รู้ว่าคุณย้ายแล้ว และช่วยส่งต่อพลัง SEO จากเว็บเดิม
- ในกรณีที่ลบหน้าเว็บเก่าออกจากระบบ หากมีหน้าคอนเทนต์ที่ไม่ใช้งานแล้ว แต่ยังมีคนหรือบอทเข้าอยู่ ควร Redirect ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องหรือโฮมเพจ เพื่อไม่ให้เกิดลิงก์เสีย
- ในกรณีที่รวมหลายหน้าคอนเทนต์เป็นหน้าเดียว สมมุติมี 3 บทความที่เนื้อหาใกล้เคียงกัน แล้วคุณรวมเป็นบทความเดียว ควร Redirect หน้าเก่าไปยังหน้าใหม่ เพื่อรักษาคะแนน SEO
- ในกรณีที่มีเวอร์ชันเว็บไซต์หลายรูปแบบ เช่น HTTP → HTTPS, www → non-www (หรือกลับกัน) ต้องทำ Redirect ให้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิด duplicate content
- ในกรณีที่มีการทดสอบหน้า Landing Page ชั่วคราว ใช้ Redirect แบบ 302 (ชั่วคราว) เพื่อทดลองเปลี่ยนหน้า Landing โดยไม่กระทบกับ SEO ถาวร
Redirect แบ่งออกเป็นกี่ประเภท
เรามาทำความเข้าใจเรื่อง Redirect ให้ลึกขึ้นอีกนิด เพราะ Redirects ไม่ได้มีแค่แบบเดียว และแต่ละประเภทก็ส่งผลต่อการทำงานของเว็บไซต์ รวมถึง SEO แตกต่างกันไป หากเลือกใช้ไม่เหมาะสม นอกจากผู้ใช้งานจะงง Google ก็อาจจะสับสนตาม และนั่นหมายความว่า อันดับอาจตกแบบไม่รู้ตัว
- 301 Redirect คือการเปลี่ยนเส้นทางแบบถาวร บอกกับ Search Engine ว่า URL เก่านี้ไม่มีอยู่แล้ว และย้ายไปอยู่ที่ URL ใหม่แบบถาวร เหมาะกับการเปลี่ยน URL แบบถาวร, กรณีย้ายเว็บไซต์ใหม่ หรือลบหน้าเก่าและต้องการโอนคะแนน SEO จากหน้าเดิมไปยังหน้าใหม่ทั้งหมด
- 302 Redirect คือการเปลี่ยนเส้นทางแบบชั่วคราว บอกกับ Search Engine ว่า URL เก่ายังอยู่ แค่ตอนนี้ขอให้ไปดู URL ใหม่ก่อน เหมาะกับกรณีที่มีการทดสอบหน้า Landing Page ใหม่ หรือใช้แสดงหน้าชั่วคราวในช่วงโปรโมชั่น เนื่องจากไม่ส่งต่อค่า SEO เหมือน 301 เพราะ Google เข้าใจว่าเป็นการย้ายแค่ชั่วคราว
- 307 Redirect คล้ายกับ 302 แต่เป็นเวอร์ชันที่ รองรับมาตรฐาน HTTP 1.1 และ รักษาวิธีการส่งข้อมูลเดิม (เช่น POST/GET) ได้ดีกว่า ซึ่งจะใช้ในระบบที่ต้องการคงรูปแบบการส่งข้อมูล หรือใช้ใน API หรือแบบฟอร์มที่ต้อง Redirect ชั่วคราว โดยที่ 307 Redirect จะรักษาวิธีการส่งข้อมูล (method) ไม่เปลี่ยนระหว่างการ Redirect
- 308 Redirect คล้ายกับ 301 แต่เป็นมาตรฐานใหม่ที่ รองรับ HTTP 1.1 และเช่นเดียวกับ 307 เหมาะกับการเปลี่ยน URL ถาวรในระบบที่ใช้ API หรือส่งข้อมูลแบบ POST/GET โดย 308 Redirect จะรักษา method การส่งข้อมูลเหมือนเดิม ซึ่ง 301 อาจไม่ทำเสมอไป
ข้อควรระวังก่อนทำ Redirect
แม้การทำ Redirect จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ราบรื่นทั้งในด้านการใช้งานและ SEO แต่ถ้าใช้ผิดวิธี ก็อาจทำให้เว็บช้า อันดับตก หรือเกิดปัญหาที่แก้ยากในระยะยาวได้ เพื่อให้การทำงานของ Redirect ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เราลองมาดูข้อควรระวังเหล่านี้กันเลย
- อย่าทำ Redirect ซ้อนกันหลายชั้น (Redirect Chains)
การ Redirect จาก URL A → B → C → D ไม่ใช่เรื่องดี เพราะมันจะเพิ่มเวลาการโหลดหน้า และ Googlebot อาจหยุดตามลิงก์ก่อนถึงจุดหมาย การทำ Redirect ที่ดีควรทำจาก URL ต้นทางไปยังปลายทางทันที (A → D)
- หลีกเลี่ยง Redirect Loop
กรณีที่ URL A Redirect ไป B แล้ว B กลับ Redirect กลับไป A (วนลูป) จะทำให้หน้าเว็บโหลดไม่สำเร็จ ทั้งผู้ใช้และ Googlebot ก็ไปไม่ถึงหน้าเป้าหมาย
- เลือกประเภท Redirect ให้เหมาะสม
ใช้ 301 Redirect เมื่อย้ายแบบถาวร และ 302/307 Redirect เมื่อย้ายชั่วคราว หากใช้ผิดประเภท Google อาจไม่ย้ายค่าคะแนน SEO ไปตามหน้าที่ต้องการ
- อย่าลืมอัปเดต Internal Link และ Sitemap
แม้ว่าจะทำ Redirect แล้ว แต่ถ้ายังมีลิงก์ภายในเว็บที่ชี้ไปยัง URL เก่าอยู่ จะทำให้ Google และผู้ใช้ต้องโหลดผ่าน Redirect ทั้งที่ไม่จำเป็น ให้ทำการเปลี่ยนลิงก์ทั้งหมดให้ชี้ไปยัง URL ใหม่โดยตรง เพื่อความเร็วและประสิทธิภาพ SEO
- ตรวจสอบ HTTP Status Code ให้ถูกต้อง
อย่าแค่รู้ว่า Redirect แล้ว แต่ต้องดูว่าเว็บตอบกลับด้วย status code อะไร เช่น 301, 302, 404 ฯลฯ เพราะอาจเกิดการตั้งค่าผิดได้
- ระวังการ Redirect ไปหน้าที่ไม่เกี่ยวข้อง (Irrelevant Pages)
หาก Redirect จากหน้า A ที่มีเนื้อหาเฉพาะ ไปยังหน้า B ที่ไม่เกี่ยวข้องเลย จะทำให้ผู้ใช้สับสน และ Google มองว่าเว็บคุณไม่ตรงความต้องการ ดังนั้น ควรทำ Redirect ไปยังหน้าที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันมากที่สุด
- อย่าทำ Redirect ทุกหน้าไปยังโฮมเพจ
หลายคนย้ายเว็บหรือปรับโครงสร้าง แล้ว Redirect ทุกหน้าที่หายไปไปยังหน้าแรกทั้งหมด ซึ่ง Google ถือว่าเป็น bad practice ควรทำ Redirect ในแต่ละหน้าให้ไปยังหน้าที่มีเนื้อหาใกล้เคียงมากที่สุดแทน
สรุป Redirect เครื่องมือที่คนทำเว็บไซต์ต้องรู้!
Redirect คือกระบวนการเปลี่ยนเส้นทางของ URL จากหน้าเว็บหนึ่งไปยังอีกหน้าเว็บหนึ่งโดยอัตโนมัติ เช่น เมื่อผู้ใช้หรือ Googlebot พยายามเข้าหน้า A แต่ระบบพาไปหน้า B แทน นั่นหมายถึงมีการทำ Redirect เกิดขึ้น ซึ่งมีอยู่หลายประเภท เช่น 301 (ถาวร), 302 (ชั่วคราว) เป็นต้น
การทำ URL Redirection ถูกใช้ในการรักษาอันดับ SEO เพราะหากไม่มีการจัดการ Redirect อย่างถูกต้อง อาจทำให้เว็บไซต์เสียคะแนน SEO จากลิงก์เดิมที่เคยมี Backlink อยู่ และเกิดประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไม่ดี เพราะคลิกแล้วเจอหน้าเสียหรือหน้าเปล่า จนทำให้ Google ลดอันดับในหน้าผลการค้นหา เพราะเว็บไซต์มี error มากเกินไป
