เรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาปัสสาวะเล็ดในผู้หญิง สาเหตุและปัจจัยใดทำให้เกิด อาการที่พบ และวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาปัสสาวะเล็ดได้อย่างมีประสิทธิผล
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่...ปัญหาที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเจอ? ปัสสาวะเล็ด เป็นปัญหาพบได้บ่อยกว่าที่คิด โดยเฉพาะปัสสาวะเล็ดผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือปัสสาวะเล็ดในผู้สูงอายุ อาการปัสสาวะเล็ดอาจทำให้รู้สึกอับอาย ไม่อยากทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือส่งผลต่อความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ได้ แต่ไม่ต้องกังวลเพราะปัจจุบันมีวิธีรักษาที่ช่วยให้ผู้หญิงกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อีกครั้ง
อยากรู้ว่าสาเหตุของปัสสาวะเล็ดคืออะไร ปัสสาวะเล็ดอาการ มีวิธีรักษาอย่างไร และจะป้องกันได้อย่างไรบ้าง ตามมาอ่านบทความนี้กันเลย โดยจะมาไขข้อข้องใจและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อจะได้เข้าใจและป้องกันอาการปัสสาวะเล็ดอย่างดียิ่งขึ้น
ภาวะปัสสาวะเล็ด คืออะไร
ปัสสาวะเล็ด หรือเรียกว่า ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เป็นภาวะที่ผู้ป่วยมีปัสสาวะเล็ดรอดออกมาจากร่างกายโดยไม่สามารถควบคุมได้ อาการนี้อาจเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งหรือเพียงบางครั้ง โดยอาจเกิดจากการไอจนปัสสาวะเล็ด จาม หัวเราะ ยกของหนัก ฉี่เล็ดตอนนอน แม้แต่การเปลี่ยนอิริยาบถ หรือบางคนฉี่เล็ดตลอดเวลา
สาเหตุและปัจจัยใดทำให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ด
ปัสสาวะเล็ด เป็นอาการที่หลายคนพบเจอ โดยเฉพาะผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือผู้ที่เคยคลอดบุตรหลายครั้ง อาการปัสสาวะเล็ดเกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อระบบปัสสาวะและกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง
สาเหตุหลัก ๆ ของปัสสาวะเล็ด ได้แก่:
- ความอ่อนแอของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน: กล้ามเนื้อส่วนนี้มีหน้าที่ค้ำจุนอวัยวะในอุ้งเชิงกราน หากกล้ามเนื้ออ่อนแอลง กระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะก็จะไม่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจเกิดจากการตั้งครรภ์ คลอดบุตร ผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน หรือแก่ตัวลง ส่งผลให้ปัสสาวะเล็ดได้
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ทำให้เนื้อเยื่อในช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะขาดความยืดหยุ่นไม่แข็งแรง ทำให้เกิดฉี่เล็ดบ่อยได้
- ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ: การติดเชื้อทำให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวบ่อยขึ้นหรือรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ปัสสาวะเล็ดได้
- โรคทางระบบประสาท: โรคบางชนิด เช่น โรคพาร์กินสัน โรคเส้นโลหิตตีบในสมอง อาจส่งผลต่อการควบคุมการปัสสาวะ
- ใช้ยาบางชนิด: ยาลดความดันโลหิต ยาขับปัสสาวะ อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดปัสสาวะเล็ด
- การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง เส้นประสาท หรืออวัยวะในอุ้งเชิงกราน อาจส่งผลต่อการควบคุมการปัสสาวะ
- ปัสสาวะเล็ดเกิดจากความอ้วน: น้ำหนักตัวมากเกินไปจะเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ทำให้ปัสสาวะเล็ดได้ง่ายขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ด ได้แก่:
- เพศ: ปัสสาวะเล็ดผู้หญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชาย
- อายุ: ผู้สูงอายุมีโอกาสเป็นมากกว่าวัยรุ่น
- ประวัติคลอดบุตร: คลอดบุตรหลายครั้งจะทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอลง ส่งผลให้ปัสสาวะเล็ดได้
- ผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน: การผ่าตัดบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ส่งผลต่อการควบคุมปัสสาวะ
- โรคประจำตัว: โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคปอดเรื้อรัง
ปัสสาวะเล็ดมีอาการอย่างไร
ปัสสาวะเล็ดอาการปัสสาวะไหลออกมาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งหรือเพียงบางครั้ง อาการหลัก ๆ ที่บ่งบอกว่าอาจมีภาวะปัสสาวะเล็ด ได้แก่
- ปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม หัวเราะ หรือออกกำลังกาย: เป็นอาการปัสสาวะเล็ดพบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะหลังคลอดบุตร
- ปัสสาวะเล็ดเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างฉับพลัน: อาจเกิดจากกระเพาะปัสสาวะรู้สึกไวเกินไป
- ปัสสาวะรั่วซึมออกมาเล็กน้อยตลอดเวลา: อาจเกิดจากความอ่อนแอของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
- ปัสสาวะไม่ออกจนหมด: ปัสสาวะเล็ดเกิดจากการอุดตันของท่อปัสสาวะ
- ปัสสาวะบ่อยขึ้น: อาจเกิดจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หรือความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ฉี่เล็ดได้
แนวทางการป้องกันปัสสาวะเล็ด
ปัสสาวะเล็ด แม้จะเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย แต่ก็มีวิธีการป้องกันหรือบรรเทาอาการปัสสาวะเล็ดผู้หญิงได้หลายวิธี โดยวิธีเหล่านี้จะช่วยให้ผู้หญิงมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้
วิธีป้องกันและบรรเทาอาการปัสสาวะเล็ด
- ฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน: การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเป็นวิธีสำคัญในการป้องกันและรักษาปัสสาวะเล็ด ฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหรือเรียกว่าการออกกำลังกายแบบคีเกล (Kegel exercise) จะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นและสามารถควบคุมปัสสาวะได้ดีขึ้น
- ควบคุมน้ำหนัก: น้ำหนักตัวมากเกินไปจะกดดันกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดการปัสสาวะเล็ดได้ง่ายขึ้น การควบคุมน้ำหนักจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- หลีกเลี่ยงของเหลวกระตุ้น: เครื่องดื่มมีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา โคล่า และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะกระตุ้นให้ปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น ควรหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการดื่มเป็นวิธีแก้ปัสสาวะเล็ดได้
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมขับถ่าย: กำหนดเวลาเข้าห้องน้ำเป็นประจำทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง แม้ว่าจะยังไม่รู้สึกปวดปัสสาวะก็ตาม หรืออย่ากลั้นปัสสาวะนานเกินไป
- ดูแลสุขอนามัย: ทำความสะอาดอวัยวะเพศภายนอกให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงยกของหนัก: ยกของหนักจะเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ทำให้ปัสสาวะเล็ดได้ง่ายขึ้น
- ปรึกษาแพทย์: หากอาการปัสสาวะเล็ดไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้ถูกวิธี
แนวทางการรักษาปัสสาวะเล็ด
ปัสสาวะเล็ด เป็นปัญหาพบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะหลังคลอดบุตร หรือผู้สูงอายุ การรักษาปัสสาวะเล็ดขึ้นอยู่กับสาเหตุหรือความรุนแรงของอาการ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ การรักษาแบบไม่ผ่าตัด และรักษาแบบผ่าตัด
รักษาแบบไม่ผ่าตัด
- ฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel exercise): เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลดีวิธีหนึ่ง การฝึกขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเป็นประจำจะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น และสามารถควบคุมการปัสสาวะได้ดีขึ้น
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: เช่น ลดน้ำหนัก หลีกเลี่ยงของเหลวกระตุ้น ปรับเปลี่ยนเวลาเข้าห้องน้ำ เป็นวิธีแก้ปัสสาวะเล็ด ได้ดี
- การใช้ยา: แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อช่วยควบคุมการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหรือทานยารักษาปัสสาวะเล็ด ยาแก้ปัสสาวะเล็ด
- อุปกรณ์ช่วย: เช่น ผ้าอนามัยสำหรับผู้ใหญ่ หรืออุปกรณ์รองรับภายใน
- กายภาพบำบัด: ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหรือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับท่าทาง ช่วยลดปัสสาวะเล็ดได้
รักษาแบบผ่าตัด
- สำหรับผู้ป่วยมีอาการรุนแรง: ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น ๆ แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัด
- ประเภทของการผ่าตัด: มีหลายวิธี เช่น ผ่าตัดใส่สลิงเพื่อรองรับท่อปัสสาวะ ผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูด ผ่าตัดยกกระชับอวัยวะในอุ้งเชิงกราน หรือผ่าตัด รีแพร์ มีผลช่วยทำให้อาการปัสสาวะเล็ดดีขึ้นได้ในช่วงแรก แต่เมื่อนานไปอาจกลับมาเป็นซ้ำอีกในระยะ 5 ปีหลังผ่าตัด
- ข้อดี: ผลการรักษาค่อนข้างดี อาการปัสสาวะเล็ดหายไปได้เกือบสมบูรณ์
- ข้อเสีย: มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น ติดเชื้อ บาดเจ็บ และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
สรุปเกี่ยวกับปัสสาวะเล็ด
ปัสสาวะเล็ดเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน สาเหตุมาจากความอ่อนแอของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือโรคบางชนิด การเลือกวิธีรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากปัสสาวะเล็ดสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้