Technical SEO คืออะไร มีขั้นตอนในการทำเว็บไซต์อย่างไรให้ดี
การทำ Technical SEO เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ Google สามารถจัดอันดับผลการค้นหาทั้งหมดได้ง่ายขึ้น และทำให้เว็บไซต์ที่ติดอันดับดี ๆ ได้รับ Organic Traffic มากขึ้น
เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางเว็บไซต์ถึงติดอันดับต้น ๆ บน Google ในขณะที่บางเว็บแทบไม่มีคนเจอเลย? นอกจากการทำ Content SEO ที่ดีแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณติดหน้า SERPs ได้ นั่นก็คือ การทำ Technical SEO หรือการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ให้ถูกต้องตามหลักการของ Search Engine
ถึงแม้ว่าคอนเทนต์จะดีแค่ไหน แต่ถ้าเว็บไซต์ไม่ผ่านเกณฑ์ของ Google โอกาสในการติดอันดับก็ลดลงไปอย่างมาก บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก Technical SEO คืออะไร พร้อม Technical SEO Audit ที่ต้องทำมีอะไรบ้าง เพื่อให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับในหน้าแรกได้อย่างยั่งยืน!
Technical SEO คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ?
Technical SEO คือกระบวนการปรับแต่งโครงสร้างและเทคนิค SEO อื่น ๆ หลังบ้าน เพื่อให้ Search Engine สามารถเข้าถึง (Crawl) และทำความเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น (Index) ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับบนผลการค้นหาได้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งประโยชน์ของการทำ Technical SEO ไม่เพียงแต่ช่วยให้เว็บไซต์โหลดได้ไวขึ้นและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน แต่ยังช่วยให้ Google และ Search Engine อื่น ๆ สามารถนำไปจัดอันดับเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาหน้าเพจที่ไม่ได้รับการจัดทำดัชนี (Indexing Issues) และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันบนตลาดออนไลน์ หากเว็บไซต์ของคุณได้รับการปรับแต่งอย่างถูกต้องเหมาะสม ย่อมส่งผลดีต่ออันดับ SEO ในระยะยาว และช่วยเพิ่ม Organic Traffic ได้อย่างต่อเนื่อง
ความสำคัญของการทำ Technical SEO
Technical SEO มีความสำคัญอย่างมากในการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนผลการค้นหา โดยเฉพาะการ Crawling และ Indexing ที่เป็นกระบวนการที่ Search Engine ใช้ในการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลเว็บไซต์ ผ่านการทำ Technical SEO อย่างถูกต้อง เช่น การสร้าง Sitemap, การใช้ Robots.txt อย่างเหมาะสม และเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วเว็บไซต์ จะช่วยให้ทั้งการ Crawling และ Indexing มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดย Crawling คือกระบวนการที่ Bot ของ Search Engine เช่น Googlebot เข้าไปเก็บข้อมูลตามหน้าเพจต่าง ๆ ของเว็บไซต์ หากเว็บไซต์มีโครงสร้างที่ซับซ้อน โหลดช้า หรือมีการบล็อกบอทโดยไม่ตั้งใจ อาจทำให้บางหน้าถูกมองข้ามไป ส่วน Indexing เป็นขั้นตอนที่ Search Engine นำข้อมูลที่รวบรวมได้จากการ Crawl ไปจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูล และใช้เพื่อตัดสินว่าเว็บไซต์ของเราจะปรากฏในผลการค้นหาหรือไม่ หากหน้าเพจไม่ได้รับการ Index ก็ไม่มีทางแสดงบน Google
การทำ Technical SEO มีอะไรบ้าง ?
การทำ Technical SEO ไม่ใช่แค่การใส่คีย์เวิร์ดหรือสร้างคอนเทนต์ที่ดีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการปรับแต่งในส่วนอื่น ๆ บนเว็บไซต์ให้เป็นมิตรต่อ Search Engine ยกตัวอย่าง Technical SEO Checklist ที่ต้องทำ เช่น
การวาง Site Structure
โครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีช่วยให้ทั้งผู้ใช้และ Search Engine สามารถเข้าถึงและเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ควรออกแบบเว็บไซต์ให้มีลำดับชั้นหรือ Site Structure ให้ชัดเจน และใช้ URL ที่ตรงตัวเข้าใจง่าย เป็นภาษาอังกฤษ และมี Internal Linking ที่ช่วยเชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการทำ Site Structure จะช่วยให้บอทของ Search Engine สามารถ Crawl เว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
HTTPS Website Security
การใช้ HTTPS เป็นปัจจัยแรก ๆ ในการทำ Technical SEO เพราะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ ผ่านการเข้ารหัสข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์กับผู้ใช้ โดย Google จะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่เป็น HTTPS มากกว่า และจะจัดอันดับเว็บไซต์ที่มี SSL Certificate สูงกว่าเว็บไซต์ที่ยังใช้ HTTP ดังนั้น การเปลี่ยนไปใช้ HTTPS ไม่เพียงแต่ช่วยเรื่อง SEO แต่ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ใช้งานอีกด้วย
การส่ง Sitemap
XML Sitemap เป็นไฟล์ที่ช่วยให้ Search Engine สามารถเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์และทำการ Index หน้าเพจต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งการส่ง Sitemap ไปยัง Google Search Console จะช่วยให้บอทของ Google รู้ว่ามีหน้าใดบ้างที่ควรได้รับการจัดทำดัชนี และช่วยลดโอกาสที่หน้าเพจสำคัญจะถูกมองข้ามไปได้
การ Optimize Page Speed
ความเร็วของเว็บไซต์ส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ของผู้ใช้และอันดับบน Google เว็บไซต์ที่โหลดช้าอาจทำให้ผู้ใช้กดออกก่อนจะเข้าถึงเนื้อหา ส่งผลให้เกิดค่า Bounce Rate สูงขึ้น แนะนำให้มีการปรับปรุง Page Speed ด้วยการบีบอัดไฟล์รูปภาพ และลดการใช้โค้ดที่ไม่จำเป็น โดยอาจหันมาใช้ CDN (Content Delivery Network) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการโหลดแทน
การแก้ไข Core Web Vitals
Core Web Vitals เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ Google ใช้ประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ ประกอบด้วย LCP (Largest Contentful Paint), FID (First Input Delay) และ CLS (Cumulative Layout Shift) การปรับปรุงปัจจัยเหล่านี้ เช่น ลดเวลาในการโหลดองค์ประกอบหลักของหน้า ลดความล่าช้าในการตอบสนอง และป้องกันการเปลี่ยนแปลงของ Layout จะช่วยให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีขึ้น
การรองรับ Mobile Friendly
การทำให้เว็บไซต์รองรับ Mobile-Friendly มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ใช้งานจำนวนมากเข้าเว็บไซต์ผ่านมือถือ ทำให้ Google ให้ความสำคัญกับ Mobile-First Indexing ซึ่งหมายความว่าเวอร์ชันมือถือของเว็บไซต์มีความสำคัญมากกว่าบน Desktop ดังนั้น การออกแบบเว็บให้ Responsive โหลดเร็ว และใช้งานง่ายบนอุปกรณ์พกพาจะช่วยให้ได้อันดับ SEO ที่ดีขึ้น
การลบ Duplicate Content
Duplicate Content หรือเนื้อหาซ้ำกันอาจส่งผลเสียต่อ SEO เพราะทำให้ Search Engine ไม่รู้ว่าควรจัดอันดับหน้าไหนดี โดยปัญหานี้สามารถแก้ไขด้วยการใช้ Canonical Tags เพื่อระบุหน้าเพจหลัก หรือหลีกเลี่ยงการสร้างเนื้อหาที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์
Technical SEO สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ
Technical SEO คือกระบวนการปรับแต่งโครงสร้างและเทคนิคของเว็บไซต์เพื่อให้สามารถทำงานได้ดีขึ้นในสายตาของSearch Engine เช่น Google, Bing และ Yahoo โดยเน้นไปที่ปัจจัยทางเทคนิค SEO ที่ส่งผลต่อการรวบรวมข้อมูล (Crawling) การจัดทำดัชนี (Indexing) และการแสดงผลในหน้าค้นหา (SERP)
ในการทำ Technical SEO ครอบคลุมหลายองค์ประกอบ เช่น การเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ การปรับโครงสร้าง URL ให้เหมาะสม และการทำให้เว็บไซต์รองรับ Mobile-Friendly นอกจากนี้ยังมีการนำเอา Schema Markup เข้ามาใช้ เพื่อช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น










