OKR คืออะไร แตกต่างกับการวัดผลแบบ KPI อย่างไรบ้าง?
OKR คือสิ่งที่ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดทิศทางที่ชัดเจนและสามารถติดตามผลได้จริง การทำ OKR จะช่วยขับองค์กรให้เกิดการพัฒนาและสร้างความสำเร็จในระยะยาวได้
ในโลกของธุรกิจการประเมินและวัดผลในทุกฝ่ายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้องค์กรสามารถปรับปรุงและพัฒนาต่อไป โดยที่จะใช้การวัดผลแบบ KPI และ OKR คือสองแนวทางที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน แม้จะดูคล้ายกัน แต่จริงๆ แล้วมีจุดประสงค์และแนวทางการใช้งานที่แตกต่างกัน คำถามที่ว่าการวัดผลแบบไหนที่เหมาะกับองค์กรของเรากันแน่? หรือแท้จริงแล้วควรใช้ทั้งสองอย่างควบคู่กัน?
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกถึงความแตกต่าง จุดเด่น และวิธีเลือกใช้ OKR กับ KPI ให้เหมาะสม เพื่อให้การตั้งเป้าหมายและการวัดผลในองค์กรของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น!
แนวคิด OKR คืออะไร? มีจุดเด่นอย่างไร?
OKR คือกรอบการตั้งเป้าหมายและวัดผลที่ช่วยให้องค์กรและทีมสามารถมุ่งเน้นไปที่สิ่งสำคัญที่ต้องการบรรลุ โดยมีโครงสร้างหลัก 2 ส่วน ได้แก่ Objectives หรือเป้าหมายที่ต้องการทำให้สำเร็จ และ Key Results หรือตัวชี้วัดที่ใช้วัดว่าบรรลุเป้าหมายหรือไม่
โดยจุดเด่นของ OKR มีดังนี้
- ช่วยกำหนดทิศทางชัดเจน ทำให้องค์กรและทีมรู้ว่าควรมุ่งเน้นไปที่อะไร และสิ่งที่ทำอยู่สอดคล้องกับเป้าหมายโดยรวมขององค์กรหรือไม่
- สร้างแรงจูงใจและความท้าทาย ซึ่งช่วยให้ทีมก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง
- วัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วย Key Results ที่ชัดเจน ทำให้สามารถติดตามความคืบหน้าและปรับปรุงแนวทางการทำงานได้ตลอดเวลา
- เพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน ทุกคนในองค์กรสามารถมองเห็น OKR ของกันและกัน ช่วยให้เกิดการสื่อสารที่ดีขึ้นและทำงานไปในทิศทางเดียวกัน
- OKR สามารถตั้งเป็นไตรมาสหรือระยะสั้นได้ ทำให้สามารถยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนเป้าหมายได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ทำไม OKR จึงจำเป็นต่อทุกองค์กร?
เพราะองค์กรไม่สามารถพึ่งพาแค่แผนงานระยะยาวเพียงอย่างเดียวได้ แต่จำเป็นต้องมีระบบที่ช่วยกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ติดตามผลได้จริง และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผลที่แนวคิด OKR (Objectives and Key Results) กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่องค์กรชั้นนำทั่วโลกเลือกใช้ OKR ไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมายทั่วไป แต่เป็นแนวทางที่ช่วยให้ทีมและองค์กร สามารถมุ่งเน้นไปที่สิ่งสำคัญที่สุดและทำงานได้อย่างสอดคล้องกัน พร้อมกับวัดผลได้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ซึ่งข้อดีของการทำ OKR คือ
- OKR ช่วยให้ทั้งองค์กรและทีมรู้ว่า "อะไรคือเป้าหมายที่สำคัญที่สุด" และให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นเป็นหลัก ลดการกระจายทรัพยากรไปกับงานที่ไม่จำเป็น
- สร้างการมีส่วนร่วมและความสอดคล้องกันในองค์กร
- กระตุ้นให้เกิดการทำงานเชิงรุก ผ่านการกำหนดเป้าหมายที่ท้าทาย เพื่อกระตุ้นให้ทีมก้าวข้ามขีดจำกัดและสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม
- สามารถวัดผลได้ชัดเจนด้วย Key Results ทำให้สามารถติดตามความคืบหน้า และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้
- ส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานแบบ Agile ซึ่งช่วยให้ทีมสามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาแนวทางการทำงานให้เหมาะสมอยู่เสมอ
- เพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และผลลัพธ์ทางธุรกิจ
OKR ประกอบไปด้วยองค์ประกอบสำคัญอะไรบ้าง?
OKR คือแนวคิดที่ช่วยให้องค์กรและทีมกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้จริง โดยมี 2 องค์ประกอบหลักที่ทำให้ OKR มีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนองค์กร นั่นก็คือ Objectives (เป้าหมาย) และ Key Results (ผลลัพธ์หลัก) ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ
Objectives การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนและทรงพลัง
Objectives หรือเป้าหมายที่องค์กรหรือทีมต้องการทำให้สำเร็จ โดยทั่วไปแล้ว Objectives ควรมีลักษณะที่ชัดเจน เข้าใจง่าย สามารถสร้างแรงบันดาลใจหรือมีคามท้าทาย กระตุ้นให้ทีมอยากทำให้สำเร็จ และควรเป็นคำอธิบายที่สร้างภาพใหญ่ของความสำเร็จ ที่อาจไม่ใช่แค่ตัวเลข
Key Results การวัดผลลัพธ์ให้ชัดเจนและจับต้องได้
Key Results คือตัวชี้วัดที่บอกว่าเราบรรลุเป้าหมาย (Objectives) แล้วหรือยัง Key Results จะต้องเป็นข้อมูลที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งมักอยู่ในรูปแบบของตัวเลขหรือค่าที่จับต้องได้ แต่ก่อนที่จะประเมินว่าเราทำสำเร็จแล้วหรือยัง ต้องมีการระบุรายละเอียดว่าต้องทำอะไรให้สำเร็จบ้างเป็นลำดับขั้นตอน และกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เพื่อให้สามารถติดตามความคืบหน้าได้
หลักการตั้ง OKR ให้มีประสิทธิภาพ มีอะไรบ้าง?
การตั้ง OKR ที่ดีไม่ใช่แค่การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องออกแบบให้สามารถขับเคลื่อนองค์กรและทีมไปสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง โดยใช้หลัก 5 ข้อต่อไปนี้
- ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อทำให้ทีมมีแรงจูงใจและรู้สึกท้าทายในการบรรลุเป้าหมาย ดังนั้น ควรเป็นประโยคที่กระชับ แต่สามารถสื่อถึงสิ่งที่ต้องการทำให้สำเร็จ OKR ตัวอย่างเช่น “สร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ลูกค้าอยากกลับมาใช้ซ้ำ”
- ใช้ Key Results ที่วัดผลได้จริง ซึ่งควรเป็นตัวเลขหรือข้อมูลที่สามารถตรวจสอบและวัดผลได้ ไม่ควรเป็นคำที่คลุมเครือ OKR ตัวอย่างเช่น “เพิ่มอัตราการกลับมาซื้อซ้ำจาก 25% เป็น 40% ภายใน 6 เดือน”
- ตั้งเป้าหมายให้ท้าทายแต่เป็นไปได้ อาจไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเกินไป เพราะจะไม่กระตุ้นให้ทีมพัฒนา แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นสิ่งที่สามารถบรรลุได้จริง OKR ตัวอย่างเช่น “ขยายฐานลูกค้าใหม่ 50,000 ราย ภายในปีนี้”
- ไม่กำหนด OKR มากเกินไป OKR ที่มีประสิทธิภาพควรมี Objectives 3-5 ข้อ และ Key Results 3-4 ข้อต่อเป้าหมาย ไม่ควรมีมากเกินไปจนทำให้ทีมเสียโฟกัส
- ทบทวนและปรับปรุง OKR อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเพื่อปรับเป้าหมายตามความคืบหน้า
OKR ต่างกับ KPI อย่างไร
OKR คือระบบตั้งเป้าหมายที่ช่วยให้องค์กรและทีม มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายที่ท้าทายและสร้างผลลัพธ์ที่มีความหมาย โดยมีการกำหนด Objectives (เป้าหมาย) และ Key Results (ตัวชี้วัดผลลัพธ์) เพื่อใช้วัดความสำเร็จ ทำให้ OKR เหมาะกับองค์กรที่ต้องการตั้งเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ กระตุ้นให้ทีมทำสิ่งที่ท้าทายและก้าวไปข้างหน้า
ตัวอย่างการเขียน OKR
Objective: “สร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า”
Key Results: คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (CSAT) เพิ่มจาก 4.2 เป็น 4.8 และเว็บไซต์ใช้เวลาโหลดหน้าเว็บจาก 3 วินาทีเป็น 1.5 วินาที ทำให้มีอัตราการกลับมาใช้งานเพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 55%
ส่วน KPI เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่ใช้วัดผลการดำเนินงานขององค์กร ทีม หรือบุคคล โดย KPI จะเป็นเกณฑ์ที่บอกว่า “งานที่ทำอยู่มีประสิทธิภาพหรือไม่” และช่วยให้ทีมสามารถตรวจสอบผลลัพธ์ในเชิงปริมาณได้ ซึ่งจะ KPI เหมาะกับการติดตามผลการดำเนินงานของกระบวนการที่มีอยู่ และใช้ตรวจสอบว่าประสิทธิภาพของงานเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่
ตัวอย่างการเขียน KPI
ทีมการตลาดบริษัทหนึ่ง ต้องการ KPI ที่จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ต่อเดือน ≥ 100,000 คน มีอัตรา Conversion Rate ≥ 5% และมียอดขายที่เกิดจากโฆษณาออนไลน์ ≥ 500,000 บาท
OKR กุญแจสำคัญสู่การเติบโตขององค์กร
การนำ OKR มาใช้ไม่เพียงช่วยให้ทีมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว OKR จึงเป็นแนวทางที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้ไว พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมและความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
















