ไขมัน มีทั้งดีและไม่ดี เลือกกินอย่างไรให้สุขภาพดี
ไขมัน มีทั้งดีและไม่ดี เลือกกินอย่างไรให้สุขภาพดี
ไขมัน เป็นหนึ่งในสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากน้ำที่เป็นองค์ประกอบหลักแล้ว ร่างกายของเรายังต้องการไขมันเพื่อช่วยในการทำงานของอวัยวะต่างๆ รวมถึงให้พลังงานและช่วยดูดซึมวิตามินบางชนิด อย่างไรก็ตาม ไขมัน ไม่ได้มีเพียงด้านดีเสมอไป เพราะหากบริโภคมากเกินไป หรือเลือกกินไขมันที่ไม่ดี อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ไขมัน ในร่างกายแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ไขมันที่ดี ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย และไขมันที่ไม่ดี ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ การเลือกบริโภคไขมันให้ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ การเข้าใจว่าไขมันแต่ละประเภทมีผลอย่างไร และควรเลือกกินไขมันแบบไหน จะช่วยให้เราสามารถรักษาสุขภาพและควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับไขมันในทุกมิติ ทั้งข้อดี ข้อเสีย และวิธีเลือกกินไขมันให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
ประเภทของไขมันในร่างกาย
ไขมัน เป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายและสุขภาพ โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงาน ช่วยสร้างฮอร์โมน และเป็นองค์ประกอบของเซลล์ในร่างกาย ไขมัน ในร่างกายสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ตามโครงสร้างและหน้าที่ที่แตกต่างกัน
1. กรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acids)
กรดไขมันที่แยกตัวออกจากไขมันสะสมในร่างกาย และถูกนำไปใช้เป็นพลังงาน
- หน้าที่ของไขมันอิสระ
- เป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที
- มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน
- แหล่งที่มาของไขมันอิสระ
- มาจากการสลายไขมันสะสมในร่างกาย
- ได้จากอาหารที่มีไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอกและน้ำมันปลา
- คำแนะนำ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายดึงไขมันอิสระไปใช้ได้มากขึ้น
2. โคเลสเตอรอล (Cholesterol)
ไขมัน ชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อกระบวนการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะการสร้างฮอร์โมนและโครงสร้างเซลล์
- หน้าที่ของโคเลสเตอรอล
- ช่วยในการผลิตฮอร์โมนสำคัญ เช่น ฮอร์โมนเพศและฮอร์โมนคอร์ติซอล
- เป็นวัตถุดิบในการสร้างวิตามินดีและน้ำดีที่ช่วยย่อยอาหาร
- ประเภทของโคเลสเตอรอล
- LDL (Low-Density Lipoprotein) หรือที่เรียกว่า ไขมันเลว สามารถสะสมในหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ
- HDL (High-Density Lipoprotein) หรือ ไขมันดี ช่วยกำจัดโคเลสเตอรอลส่วนเกินออกจากกระแสเลือด
- คำแนะนำ
- เลือกบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวจากแหล่งธรรมชาติ เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด และปลา
- หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์จากอาหารแปรรูปและของทอดที่อาจเพิ่มระดับ LDL
3. ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides)
ไขมัน ที่สะสมในร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานสำรองในระยะยาว
- หน้าที่ของไตรกลีเซอไรด์
- เก็บสะสมพลังงานส่วนเกินจากอาหารที่รับประทานเข้าไป
- เป็นแหล่งพลังงานสำรองสำหรับร่างกายเมื่อไม่ได้รับพลังงานจากอาหาร
- คำแนะนำ
- ลดการบริโภคน้ำตาลและแป้งขัดสี เพราะร่างกายจะเปลี่ยนสารอาหารเหล่านี้เป็นไตรกลีเซอไรด์
- ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อช่วยเผาผลาญไขมันสะสม
4. ฟอสโฟลิพิด (Phospholipids)
ไขมัน ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ และช่วยในกระบวนการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์
- หน้าที่ของฟอสโฟลิพิด
- เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยให้เซลล์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สนับสนุนการทำงานของระบบประสาทและสมอง
- แหล่งที่มาของไขมันฟอสโฟลิพิด
- ร่างกายสามารถผลิตได้เอง
- พบในอาหาร เช่น ไข่แดง ถั่วเหลือง และปลาทะเล
- คำแนะนำ
- บริโภคอาหารที่มีเลซิติน เช่น ถั่วเหลืองและไข่ ซึ่งเป็นแหล่งของฟอสโฟลิพิดที่ช่วยบำรุงเซลล์ในร่างกาย
อายุมากขึ้นทำไมเผาผลาญไขมันได้น้อยลง
เมื่ออายุมากขึ้น หลายคนอาจสังเกตว่าการเผาผลาญไขมันทำได้ยากกว่าเดิม ทั้งที่กินอาหารปริมาณเท่าเดิมหรือออกกำลังกายไม่ต่างจากเดิม ปัญหานี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่ส่งผลต่อกระบวนการเผาผลาญพลังงานและการสะสมไขมันในร่างกาย
1. มวลกล้ามเนื้อลดลง ทำให้เผาผลาญไขมันได้น้อยลง
กล้ามเนื้อเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน แม้ในขณะที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว กล้ามเนื้อก็ยังช่วยเผาผลาญพลังงานมากกว่าไขมัน
- เมื่ออายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป ร่างกายจะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อประมาณ 3-8% ทุกๆ 10 ปี
- ภาวะนี้เรียกว่า Sarcopenia ซึ่งส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานน้อยลง และทำให้ไขมันสะสมได้ง่ายขึ้น
2. ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ทำให้ร่างกายสะสมไขมันง่ายขึ้น
ฮอร์โมนในร่างกายมีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมการเผาผลาญไขมัน และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเมื่ออายุมากขึ้นอาจทำให้ไขมันสะสมง่ายขึ้น
- ฮอร์โมนเพศ เช่น เอสโตรเจนในผู้หญิง และเทสโทสเตอโรนในผู้ชาย ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น
- ฮอร์โมนเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อและป้องกันการสะสมของไขมัน
- เมื่อฮอร์โมนลดลง ร่างกายจะสะสมไขมันได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องและรอบอวัยวะภายใน
3. ไมโทคอนเดรียทำงานลดลง ทำให้เผาผลาญไขมันช้าลง
ไมโทคอนเดรียทำหน้าที่เป็นโรงงานพลังงานของเซลล์ มีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนเป็นพลังงาน
- เมื่ออายุมากขึ้น ไมโทคอนเดรียเสื่อมสภาพ ทำให้การเผาผลาญพลังงานช้าลง
- การที่ร่างกายเผาผลาญไขมันได้น้อยลง ทำให้พลังงานที่ไม่ได้ถูกใช้ถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสม
4. กิจกรรมทางกายลดลง ทำให้ไขมันสะสมเพิ่มขึ้น
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น หลายคนมีแนวโน้มเคลื่อนไหวน้อยลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเผาผลาญไขมัน
- คนส่วนใหญ่มักใช้เวลากับกิจกรรมที่ใช้พลังงานน้อย เช่น นั่งทำงาน เดินน้อยลง หรือออกกำลังกายน้อยลง
- เมื่อเผาผลาญพลังงานน้อยลง ไขมันที่ได้รับจากอาหารก็จะถูกสะสมมากขึ้น
5. ระบบเผาผลาญพื้นฐาน (BMR) ลดลง ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันช้าลง
BMR คืออัตราการเผาผลาญพลังงานที่ร่างกายใช้ในขณะพัก เช่น การไหลเวียนโลหิต และการทำงานของอวัยวะภายใน
- BMR จะลดลงประมาณ 1-2% ต่อทศวรรษหลังอายุ 30 ปี
- เมื่อ BMR ลดลง แต่ยังบริโภคพลังงานในปริมาณเท่าเดิม ไขมันที่เหลือใช้จะถูกเก็บสะสมเพิ่มขึ้น
6. ไขมันอวัยวะภายในสะสมมากขึ้น
เมื่ออายุมากขึ้น ไขมันที่สะสมในร่างกายไม่ได้กระจายตัวเหมือนตอนอายุน้อย แต่จะสะสมในอวัยวะภายใน เช่น ตับ หัวใจ และลำไส้
- ไขมันอวัยวะภายในเป็นไขมันที่เผาผลาญได้ยากกว่าปกติ
- การสะสมของไขมันอวัยวะภายในอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน
ตัวอย่างแหล่งอาหารที่มีไขมันดี
การเลือกบริโภคไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพ เพราะไขมันที่ดีช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ เสริมสร้างการทำงานของสมอง และช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดีขึ้น
- น้ำมันมะกอก เป็นแหล่งไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL และเสริมสร้างสุขภาพหลอดเลือด
- อะโวคาโด มีไขมันไม่อิ่มตัวที่ช่วยลดการอักเสบ และยังเป็นแหล่งของไฟเบอร์และสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพโดยรวม
- ถั่วและเมล็ดพืช เช่น อัลมอนด์ วอลนัท และเมล็ดเจีย อุดมไปด้วยโอเมก้า-3 และวิตามิน E ซึ่งช่วยบำรุงสมองและเสริมภูมิคุ้มกัน
- ปลาไขมันสูง เช่น แซลมอน แมคเคอเรล และทูน่า ให้กรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันโรคหัวใจ
- น้ำมันปลา เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพสมอง ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด
- น้ำมันงาและน้ำมันเมล็ดทานตะวัน อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดระดับความดันโลหิตและบำรุงหลอดเลือด
- เต้าหู้และถั่วเหลือง เป็นแหล่งของโปรตีนจากพืชที่ให้ไขมันดี และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย
การเลือกรับประทานไขมันดีจากแหล่งอาหารธรรมชาติ จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด และลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับไขมันไม่ดี เช่น ไขมันทรานส์ และไขมันอิ่มตัวที่มากเกินไป การเพิ่มอาหารเหล่านี้ในมื้ออาหารประจำวัน จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงและสมดุลมากยิ่งขึ้น
เราควรกินไขมันวันละเท่าไหร่ให้ดีต่อสุขภาพ
ไขมัน เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย และมีบทบาทในกระบวนการเผาผลาญ การสร้างเซลล์ และการดูดซึมวิตามินบางชนิด อย่างไรก็ตาม การบริโภคไขมันมากหรือน้อยเกินไปอาจส่งผลต่อสุขภาพ ดังนั้น ควรเลือกไขมันที่ดีและควบคุมปริมาณให้เหมาะสม
ปริมาณไขมันที่ควรบริโภคต่อวัน
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไขมันควรเป็นแหล่งพลังงานประมาณ 20-35% ของพลังงานทั้งหมดที่บริโภคในแต่ละวัน และควรเน้นไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ไขมันจากพืชและปลาที่มีโอเมก้า-3 ขณะที่ควรหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์
ปริมาณไขมันที่แนะนำ ตามปริมาณแคลอรีที่ต้องการ
- หากต้องการพลังงาน 2,000 แคลอรีต่อวัน
- ควรได้รับไขมันรวม 44-78 กรัม
- ไขมันอิ่มตัว ไม่ควรเกิน 22 กรัม
- หากต้องการพลังงาน 1,500 แคลอรีต่อวัน
- ควรได้รับไขมันรวม 33-58 กรัม
- ไขมันอิ่มตัว ไม่ควรเกิน 15 กรัม
แนวทางในการเลือกบริโภคไขมันอย่างเหมาะสม
- เพิ่มไขมันที่ดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่ว และปลาที่มีไขมันสูง
- ลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวจากอาหารแปรรูป เนื้อสัตว์ติดมัน และผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันสูง
- หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์จากอาหารทอด ขนมอบ และมาการีน
- เลือกปรุงอาหารด้วยวิธีที่ลดการใช้น้ำมัน เช่น ต้ม นึ่ง ย่าง หรืออบ
การควบคุมปริมาณไขมันที่บริโภคในแต่ละวัน ไม่เพียงช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานที่เหมาะสม แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และภาวะไขมันสะสมเกินในร่างกายได้อีกด้วย
สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับไขมัน
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าไขมันเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง แต่ความจริงแล้วไขมันมีบทบาทสำคัญต่อร่างกาย ไขมันช่วยให้ร่างกายมีพลังงาน เป็นองค์ประกอบของเซลล์ และช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E และ K อย่างไรก็ตาม การที่ร่างกายมีไขมันมากเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ และภาวะไขมันพอกตับ
หากเราดูแลการบริโภคไขมันให้เหมาะสม ร่างกายจะได้รับประโยชน์จากไขมันในแง่ของพลังงานและสุขภาพระยะยาว ดังนั้น แทนที่จะหลีกเลี่ยงไขมันโดยสิ้นเชิง ควรเลือกกินไขมันที่มีประโยชน์ และควบคุมปริมาณให้เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพดีในระยะยาว














