การตัดสินใจทำศัลยกรรมหน้าอก ไม่ว่าจะเป็น การเสริมหน้าอก (Breast Augmentation) การลดขนาดหน้าอก (Breast Reduction) การศัลยกรรมสร้างเต้านมใหม่ (Breast Reconstruction) หรือการยกกระชับหน้าอก (Breast Lift) เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใช้ข้อมูลประกอบการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้ศัลยกรรมหน้าอกมีความปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น ในบทความนี้ เราได้รวบรวม 5 คำถามที่พบบ่อยที่สุด จากผู้หญิงที่กำลังพิจารณาทำศัลยกรรมหน้าอก พร้อมคำตอบจากข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ ไปดูกันเลย
การเสริมหน้าอกเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหรือไม่?
การเสริมหน้าอกไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of the National Cancer Institute ยืนยันว่า ไม่มีหลักฐานว่าซิลิโคนหรือถุงเต้านมเทียม (breast implants) เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม อย่างไรก็ตาม ซิลิโคนอาจทำให้การตรวจแมมโมแกรมยากขึ้น เพราะอาจบดบังภาพบางส่วนของเนื้อเยื่อเต้านม
แต่ปัจจุบันเทคนิคการตรวจแมมโมแกรมสามารถปรับให้เหมาะกับผู้ที่มีซิลิโคน โดยการถ่ายภาพเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำขึ้น ข้อแนะนำ คือ ควรแจ้งให้รังสีแพทย์ทราบว่าคุณมีซิลิโคนก่อนตรวจแมมโมแกรม และควรตรวจเต้านมเป็นประจำด้วยตนเอง และเข้ารับการตรวจสุขภาพเต้านมตามคำแนะนำของแพทย์
อายุเยอะเกินไปหรือไม่ที่จะทำศัลยกรรมหน้าอก?
อายุไม่ใช่ปัจจัยหลักที่กำหนดว่าคุณสามารถทำศัลยกรรมหน้าอกได้หรือไม่ สิ่งสำคัญกว่าคือ สุขภาพโดยรวมและสภาพร่างกายของคุณ จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Aesthetic Surgery Journal พบว่า ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปีก็สามารถเข้ารับการศัลยกรรมหน้าอกได้ หากพวกเขามีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อการผ่าตัด และมีความคาดหวังที่สมเหตุสมผลกับผลลัพธ์
แพทย์จะทำการประเมินสุขภาพก่อนการผ่าตัด โดยพิจารณาความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และปัจจัยอื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าการผ่าตัดจะปลอดภัย ข้อแนะนำ คือ หากอายุมากกว่า 40 ปี ควรตรวจสุขภาพเต้านมและหัวใจก่อนศัลยกรรม รวมถึงเลือกศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และรับคำแนะนำอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
ศัลยกรรมหน้าอกมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
เช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่นๆ ศัลยกรรมหน้าอกมีความเสี่ยง ซึ่งรวมถึง การติดเชื้อ เลือดออก เกิดรอยแผลเป็น การเกิดพังผืดรอบซิลิโคน (Capsular Contracture) และการรั่วหรือแตกของซิลิโคน อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ American Society of Plastic Surgeons พบว่าภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นในน้อยกว่า 5% ของเคสทั้งหมด
ซิลิโคนโดยทั่วไปมีอายุการใช้งาน 10-20 ปี ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน บางคนอาจต้องเปลี่ยนเร็วกว่านั้น ในขณะที่บางคนสามารถใช้งานได้นานกว่านั้น ข้อแนะนำ คือ ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงติดตามผลกับศัลยแพทย์เป็นระยะ เพื่อประเมินความสมบูรณ์ของซิลิโคน
จะเลือกขนาดซิลิโคนอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง?
การเลือกขนาดซิลิโคนต้องคำนึงถึง สรีระร่างกาย ไลฟ์สไตล์ และเป้าหมายด้านความงาม งานวิจัยจาก Plastic and Reconstructive Surgery Journal ระบุว่า ขนาดซิลิโคนที่สมดุลกับสัดส่วนร่างกายจะช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และลดความเสี่ยงต่ออาการปวดหลังหรือปัญหากล้ามเนื้อ
ปัจจุบัน ศัลยแพทย์มักใช้ 3D Imaging เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ก่อนการผ่าตัด นอกจากนี้ยังมีซิลิโคนตัวอย่างให้ลองใส่เพื่อทดสอบขนาดที่เหมาะสม ข้อแนะนำคือ ลองใช้ซิลิโคนจำลองในชุดชั้นในเพื่อดูว่าขนาดใดที่เหมาะกับคุณ หรือปรึกษาศัลยแพทย์เกี่ยวกับขนาดและรูปทรงของซิลิโคนที่เหมาะสม
สามารถให้นมบุตรได้หลังจากเสริมหน้าอกหรือไม่?
โดยทั่วไป ผู้หญิงยังสามารถให้นมบุตรได้ตามปกติหลังจากเสริมหน้าอก หากศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดโดยหลีกเลี่ยงการตัดผ่านเส้นประสาทหรือท่อน้ำนม โดยงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน International Breastfeeding Journal พบว่า การเสริมหน้าอกไม่มีผลกระทบต่อการผลิตน้ำนม หากแผลผ่าตัดอยู่บริเวณใต้ราวนมหรือรักแร้ อย่างไรก็ตาม หากมีการตัดผ่านบริเวณปานนม อาจทำให้เกิดอาการชาหรือส่งผลต่อความสามารถในการให้นม ข้อแนะนำ คือ ควรแจ้งศัลยแพทย์หากคุณต้องการมีบุตรและให้นมลูกในอนาคต และเลือกวิธีการผ่าตัดที่ลดความเสี่ยงต่อการกระทบต่อท่อน้ำนม
สรุป ทำหน้าอกควรพิจารณาอะไร?
ศัลยกรรมหน้าอกเป็นการตัดสินใจที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ การศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดเป็นกุญแจสำคัญในการเลือกทางเลือกที่เหมาะสมกับคุณ โดยสิ่งที่ควรทำก่อนตัดสินใจศัลยกรรมหน้าอก มีดังนี้
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของการศัลยกรรมที่คุณสนใจ
ปรึกษาศัลยแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์
ตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความพร้อมของร่างกาย
เข้าใจความเสี่ยงและระยะเวลาการฟื้นตัว
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ ศัลยกรรมเสริมหน้าอก