สอบ CEFR คืออะไร สามารถใช้วัดระดับภาษาอังกฤษได้จริงไหม
CEFR คือหนึ่งในมาตรฐานสากลที่ใช้วัดระดับความสามารถทางภาษา ประเมินจากทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน ที่จะแบ่งออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่ A1, A2, B1, B2, C1 และ C2
ภาษา คือเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารและเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในชีวิตโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ การวัดระดับภาษาอังกฤษด้วย CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้วัดระดับความสามารถทางภาษา มาทำความรู้จักกับการสอบ CEFR คืออะไร? CEFR มีกี่ระดับ? เพื่อเป็นข้อมูลในการเตรียมตัวสอบครั้งนี้!
CEFR คืออะไร สำคัญอย่างไร
CEFR ย่อมาจาก Common European Framework of Reference for Languages คือกรอบมาตรฐานสากลที่ใช้วัดระดับความสามารถทางภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่น ๆ โดยแบ่งออกเป็น 6 ระดับ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นไปจนถึงผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ A1, A2, B1, B2, C1 และ C2 การสอบ CEFR ไม่ได้วัดแค่ความรู้ด้านไวยากรณ์หรือคำศัพท์ แต่ยังเน้นประเมินทักษะการใช้งานภาษาในสถานการณ์จริงอีกด้วย
นอกจากนี้ คะแนน CEFR ยังช่วยประเมินความสามารถทางภาษาอย่างแม่นยำ ทำให้ผู้เรียนและครูผู้สอนรู้ว่าผู้เรียนอยู่ในระดับใดและควรพัฒนาอะไรเพิ่มเติม นอกจากนี้ การสอบ CEFR ยังเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ทั้งในสถาบันการศึกษาและองค์กรต่าง ๆ จึงช่วยให้ผู้เรียนสามารถวางแผนการเรียนรู้ได้ชัดเจน เช่น ตั้งเป้าหมายเลื่อนระดับจาก B1 ไป B2 อีกทั้ง CEFR ยังมีบทบาทสำคัญในการสมัครงานหรือศึกษาต่อ เพราะการสอบวัดผลภาษา เช่น IELTS และ TOEFL มักอิงกับระดับนี้เพื่อยืนยันความสามารถของผู้สอบ
ใครบ้างที่ต้องสอบ CEFR
การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษตามมาตรฐาน CEFR เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประเมินทักษะภาษาเพื่อใช้ใน การเรียน การทำงาน หรือการย้ายถิ่นฐาน เช่น
- นักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อต่างประเทศ หรือนักเรียนทุกคนที่สำเร็จระดับมัธยม โดยต้องได้ระดับ B2 สำหรับภาษาต่างประเทศภาษาแรก และระดับ B1 สำหรับภาษาต่างประเทศภาษาที่สอง
- พนักงานที่ต้องการสมัครงานในบริษัทข้ามชาติ
- ผู้ที่ต้องการขอวีซ่าหรือสัญชาติในบางประเทศ
- ครูและบุคลากรทางการศึกษาในหลายประเทศ เช่น ประเทศไทย จำเป็นต้องมีใบรับรอง CEFR เพื่อแสดงความสามารถทางภาษาตามเกณฑ์ที่กำหนดโดยกระทรวงศึกษาธิการ
CEFR มีกี่ระดับ แต่ละระดับต่างกันอย่างไร
CEFR Level สามารถแบ่งระดับความสามารถทางภาษาออกเป็น 6 ระดับ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นจนถึงผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ A1, A2, B1, B2, C1 และ C2 โดยแต่ละระดับ CEFR มีลักษณะสำคัญดังนี้
- CEFR ระดับ A1 (Beginner) ผู้เข้าทดสอบสามารถเข้าใจและใช้ประโยคพื้นฐานในชีวิตประจำวัน เช่น แนะนำตัว สั่งอาหาร หรือถามทาง แต่ยังต้องการความช่วยเหลือในการสนทนา
- CEFR ระดับ A2 (Elementary) ผู้เข้าทดสอบสามารถสื่อสารในสถานการณ์ทั่วไปที่คุ้นเคย เช่น การพูดคุยเรื่องครอบครัว งานอดิเรก หรือการซื้อของ แต่ยังไม่คล่องในการพูดเรื่องที่ซับซ้อน
- CEFR ระดับ B1 (Intermediate) ผู้เข้าทดสอบสามารถเข้าใจบทสนทนาในชีวิตประจำวันและเนื้อหาทั่วไป เช่น การพูดคุยเรื่องงาน การเดินทาง หรือข่าวสาร สามารถเขียนข้อความสั้น ๆ และสื่อสารในสถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อนมากนัก
- CEFR ระดับ B2 (Upper Intermediate) ผู้เข้าทดสอบสามารถพูดคุยเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การอภิปรายประเด็นสำคัญ เข้าใจเนื้อหาที่เป็นทางการ และสามารถเขียนเรียงความหรือรายงานที่มีโครงสร้างชัดเจน
- CEFR ระดับ C1 (Advanced) ผู้เข้าทดสอบมีความคล่องแคล่วในการสื่อสาร เข้าใจเนื้อหาที่ยาก เช่น บทความเชิงวิชาการ และสามารถใช้ภาษาในเชิงลึกในงานหรือสถานการณ์ที่เป็นทางการ
- CEFR ระดับ C2 (Proficient) เป็นระดับสูงสุดที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในภาษา โดยผู้เข้าทดสอบสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษในทุกสถานการณ์ ทั้งการอ่าน การพูด และการเขียน เช่น การทำงานในระดับมืออาชีพหรือการเข้าใจเนื้อหาวรรณกรรมที่ซับซ้อน
สรุป CEFR คือการสอบตามมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกยอมรับ
ระบบการวัดระดับทักษะภาษาอังกฤษตามมาตรฐาน CEFR คือการประเมินความสามารถทางภาษาของบุคคลในระดับสากล โดยแบ่งออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่ A1, A2, B1, B2, C1 และ C2 ซึ่งครอบคลุมทั้งทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน CEFR ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานการศึกษาทั่วโลก รวมถึงใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการประเมินระดับภาษาเพื่อศึกษา หรือทำงาน หรือย้ายถิ่นฐานในต่างประเทศ
จุดมุ่งหมายของ CEFR คือการให้ผู้เรียนภาษาและผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถวัดระดับทักษะภาษาได้อย่างเป็นระบบ เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของตนเอง และกำหนดเป้าหมายการพัฒนาภาษาได้อย่างชัดเจนมากขึ้น การรู้ระดับภาษาอังกฤษตาม CEFR Test ยังช่วยให้เข้าใจถึงโอกาสในการสอบวัดระดับต่าง ๆ เช่น IELTS, TOEFL หรือ TOEIC ว่าสอดคล้องกับมาตรฐานนี้อย่างไรได้ด้วย