สุดเศร้า แม่คนขับรถตู้เหยื่อแพรวา เปิดใจ มองพวกเราให้เป็นเหมือนมนุษย์กับเขาบ้าง
จากเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 27 ธ.ค. 53 บนทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ บริเวณใกล้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกิดอุบัติเหตุรถเก๋งพุ่งชนรถตู้จนทำให้ชนขอบทาง ผู้โดยสารกระเด็นออกจากรถตกลงจากทางด่วน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดกระแสในโลกโซเชียลมีเดียได้ปลุกแฮชแท็ก #แพรวา9ศพ กลับมาติดเทรนด์อันดับต้น ๆ ของประเทศอีกครั้ง ท่ามกลางคำถามของสังคมถึงความคืบหน้าในกรณีนี้ โดยเหตุการณ์มาเกือบจะครบ 9 ปีเต็มแล้ว แต่ดูเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจะยังไม่ได้รับความยุติธรรม
วันที่ 18 ก.ค. นางทองพูน พานทอง แม่ของนฤมล ปิตาทานัง คนขับรถตู้ทะเบียน 13-7795 กรุงเทพฯ หนึ่งในผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ รถยนต์ยี่ห้อซีวิคพุ่งชนรถตู้จนเสียหลักหมุนชนขอบกั้นทางบนดอนเมืองโทลลเวย์ เหตุเกิดเมื่อปี 2553 ให้โอกาสพูดคุยถึงเรื่องค่าชดเชยที่ศาลสั่งให้จำเลยจ่ายให้กับครอบครัวเสียหายแต่ยังไม่ได้รับ โดย แม่ทองพูน บอกว่า เรื่องค่าชดเชยตามคำพิพากศาลเราจะให้ทนายความดำเนินการ โดยขณะนี้ยังไม่ได้เรียกไปหารือ แต่เราก็จะให้ทนายความดูแลเรื่องนี้
ส่วนที่เกิดกระแสในสังคมพูดถึงคดีนี้ขึ้นอีกครั้ง นางทองพูน ยืนยันว่า ไม่ได้มีความคิดที่จะมาออกข่าวให้ดัง เพราะแผลกำลังจะหาย แต่บังเอิญมีรายการหนึ่งนำเรื่องราวของแม่เหยื่ออีกคนไปนำเสนอ จึงทำให้สังคมกลับมานึกถึงอีกครั้ง
“เราเสียใจอยู่แล้วเรื่องการสูญเสียลูก แต่ว่าในเมื่อมันเกิดไปแล้วจะทำยังไงได้ มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่จริงๆ แล้วคนที่อยู่ ที่ทำให้เกิดอย่างนี้ ศาลตัดสินออกมาแล้วควรจะปฏิบัติตามที่สั่ง ทีนี้เขาไม่เคยหันหลังมามองเราเลย ไม่เคยคิดว่าเราเป็นมนุษย์เหมือนกันกับเขา วันนี้มันเงียบเกินไป”
ผู้สูญเสียลูกสาวที่เหมือนเป็นเสาหลักของครอบครัว ย้ำว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ครอบครัวของจำเลยไม่เคยติดต่อมาเลย จะให้เราตอบสักกี่ครั้งก็ไม่มีเลย มองเราเขายังไม่มองเป็นมิตรเลย ไปที่ศาลเจอกันเขาก็ไม่มองเรา เวลาเจอผู้ใหญ่รู้จักไม่รู้จักเราก็ทักทายสวัสดีกันแต่นี่ไม่เคย
9 ปีอยากพูดอะไรถึง “แพรวา”
ทองพูน: อยากจะให้เขามองพวกเราให้เป็นเหมือนมนุษย์กับเขาบ้าง ให้คิดว่าเราเป็นคนเหมือนเขา ไม่ใช่ว่าพอมาทำให้เราสูญเสียแล้วจะคิดว่าเรา…ไม่รู้จะพูดแบบไหน คนดื้อ เรามาเจอกับคนดื้อก็เลยกลายเป็นแบบนี้ อีกอย่างคงจะแบ่งชั้นวรรณะด้วย เราก็ไม่รู้ เพราะเขาถูกเลี้ยงมาแบบนั้น อย่างพ่อแม่ พอเหตุเกิดความจริงจะต้องวิ่งเข้าหา ไม่ใช่ให้เราวิ่งตาม เหตุเกิดไปแล้วก็ควรคุย เห็นอกเห็นใจกันไม่ใช่แสดงเหมือนทุกวันนี้ เงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เงินชดเชยกับความสำนึกผิดอะไรสำคัญกว่ากันตอนนี้
ทองพูน: มันสำคัญทั้งหมด อย่างเงินก็สำคัญ เพราะคนเราต้องใช้เงิน แต่ไม่สำคัญเท่าจิตใจของคนเรามากกว่าที่จะสำคัญ เรื่องค่าชดเชยที่สมควร เราปล่อยให้ทนายจัดการ ส่วน “สำนึก” เขาจะนึกหรือไม่ เรื่องของเขา เราก็ไม่อยากรู้จักแล้ว คนที่ดีๆ มีเยอะแยะที่เราต้องรู้จัก
สำหรับชีวิตความเป็นหลังเสียลูกสาวไป นางทองพูนต้องดูแลหลานด้วยอาชีพขายขนมและรับจ้างทำงานกับเจ้านายเก่า ด้วยพลังใจที่เข้มแข็งซึ่งเธอบอกกับเราทิ้งท้ายว่า “เราต้องรับกับมันให้ได้ ต้องดำเนินชีวิต เราเสียไปแล้ว คิดถึงเขาก็ได้ทำบุญหา”
แหล่งที่มา: https://mekhaoduan.com/