สาวไทย “ดี้อโบ” แพทย์เตือนสาเหตุคุกคามความงามที่ไม่ควรมองข้าม
เมิร์ซ เอสเธติกส์ ฉลองครบรอบ 110 ปี ร่วมกับแพทย์ความงามระดับโลก จัดสัมมนา “The Pure naked truth “BOtulinum TOXin resistance, The Beauty Threat” by Merz Aesthetics” ให้ความรู้อาการดื้อโบรับเทรนด์ความงาม และสุขภาพปี 2018 พร้อมเผยฉีดโบยังฮิต ผู้หญิงไทย ฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน 3 อันดับแรกคือ ปรับรูปหน้าให้เข้ารูป 63% ลดเลือนริ้วรอยต่างๆ อาทิ รอยตีนกา ริ้วรอยหน้าผาก 61% และเสริมความมั่นใจ 47% แพทย์ชี้ควรใช้โบที่มีคุณภาพ หลังพบหญิงไทยกว่า 82 % มีอาการดื้อโบ ควรใช้ โบทูลินั่ม ท็อกซิน ที่ได้รับการรับรองจาก อย. และไม่มีสารสะสมตกค้าง และให้ความรู้สึกสบายหน้า สามารถขยับหน้าได้ตามอารมณ์
เภสัชกรหญิง กิตติวรรณ รัตนจันทร์ ผู้จัดการใหญ่ประจำ บริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า เมิร์ซ เอสเธติกส์ (Merz Aesthetics) เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมความงามจากเยอรมัน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวชภัณฑ์ยา และเทคโนโลยีความงามมากกว่า 1 ศตวรรษ ทั้งเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรมความงามกลุ่ม โบทูลินั่ม ท็อกซิน สารเติมเต็มฟิลเลอร์ เครื่องยกกระชับผิวหน้า อัลเทอร่า และเครื่องมือแพทย์ เพื่อการดูแลรักษาผิวพรรณ และรูปร่าง โดยได้รับความไว้วางใจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามกว่า 90 ประเทศทั่วโลก พร้อมจัดสัมมนาความรู้ด้านความงาม เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 110 ปี ในหัวข้อ “The Pure naked truth “BOtulinum TOXin resistance, The Beauty Threat” by Merz Aesthetics” สวยเด้ง สวยปัง ไม่พังเพราะดื้อโบ ในงานเราได้รับเกียรติจาก วิทยากรพิเศษ ดอกเตอร์ เจอร์เกน เฟรเวิร์ต นักวิทยาศาสตร์ คนแรกของโลก ผู้คิดค้น วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โบเยอรมัน บินลัดฟ้ามาให้ความรู้เฉพาะทางด้านความงาม และปัญหาที่เกิดจากการดื้อโบ
โบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือ โบท็อกซ์ เป็นการฉีดโปรตีน เพื่อทำการลดเลือนริ้วรอย ในระยะแรก โบทูลินั่ม ท็อกซิน ได้ถูกใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์เพื่อรักษาผู้ป่วย แต่ในปัจจุบันได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทางความงามมากกว่า เพื่อเป็นการลดริ้วรอย ปรับใบหน้าให้กระชับเข้ารูป เสริมความมั่นใจ ทำให้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก นอกจากนี้ โบทูลินั่ม ท็อกซิน ยังเป็นหนึ่งในตลาดความงามที่มีมูลค่าอันดับต้นๆ และมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นทุกปี โดยในปี 2018 ธุรกิจโบทูลินั่ม ท็อกซิน มีมูลค่าตลาดสูงถึง 2.2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ รวมถึงถูกคาดการว่าจะพุ่งไปถึง 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอีก 3 ปีข้างหน้า และหากนับเฉพาะในประเทศไทย มูลค่าตลาดของโบทูลินั่ม ท็อกซิน มีค่าราว 1,200 ล้านบาท พร้อมมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 8-10% ไปจนถึงปี 2021 เลยทีเดียว
แม้โบทูลินั่ม ท็อกซิน จะเป็นเทคนิคที่ทำได้รวดเร็วและเห็นผลชัดเจน แต่ผลของการฉีดจะไม่ได้อยู่อย่างถาวร ทำให้ผู้ใช้ต้องรับการฉีดใหม่เรื่อยๆ และหากสารฉีดมีความบริสุทธิ์ไม่เพียงพอ หรือมีโปรตีนที่ไม่ได้ส่งผลในทางบวกปนเปื้อนมาด้วย ก็อาจทำให้ร่างกายเกิดภูมิคุ้มกันต่อสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ จนในที่สุดการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน ก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ และจะนำมาซึ่งอาการที่เรียกกันว่า “อาการดื้อ โบ” ซึ่งในระยะสั้น จะส่งผลให้สูญเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิต และเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ ส่วนในระยะยาวนั้น อาจนำไปสู่การลดทอนคุณภาพชีวิต จากการเสียโอกาสการใช้ยาโบทูลินั่ม ท็อกซิน เพื่อการรักษาความเจ็บป่วยในกรณีจำเป็นในอนาคต ซึ่งจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดโบทูลินั่ม ท็อกซิน ก็จะทำให้เกิดปัญหาจากอาการดื้อโบเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย
จากผลการสำรวจ พฤติกรรมการรับบริการของหญิงไทย ‘ฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน’ ของกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงไทยจำนวน 1,000 คน ร้อยละ 14 ของกลุ่มตัวอย่าง เข้ารับบริการ ฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน ในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการเสริมความงามด้วยวิธีการอื่น รองลงมาคือการทำ Laser Treatments เช่น IPL และ Ultra Deep Treatments เช่น Ionto ร้อยละ 10 เท่ากันตามลำดับ และเหตุผลที่ผู้หญิงไทยเลือกรับบริการ ฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน 3 อันดับแรกคือ เพื่อต้องการปรับรูปหน้าให้เข้ารูป 63% เพื่อลดเลือนริ้วรอยต่างๆ อาทิ รอยตีนกา ริ้วรอยหน้าผาก 61% และเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ 47% ตามลำดับ
เภสัชกรหญิง กิตติวรรณ กล่าวต่อไปว่า จุดยุทธศาสตร์หรือบริเวณบนใบหน้า ซึ่งสาวไทยมองว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการฉีดโบได้แก่ ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก 63% กรามใหญ่ (ลดกราม) 61% และลดรอยตีนกา 45% ด้วยคุณสมบัติของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน ที่ต้องการคือ ได้รับการรับรองจาก อย. และไม่มีสารสะสมตกค้าง 93% ไม่เสี่ยงต่อการดื้อโบ 86% และให้ความรู้สึกสบายหน้า สามารถขยับหน้าได้ตามอารมณ์ 84% สรุปได้ว่า ปัจจุบัน สาวไทยส่วนใหญ่กังวลเรื่องการดื้อโบ และเล็งเห็นความสำคัญในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เสี่ยงต่อการดื้อโบนั่นเอง
“แม้ว่าโบทูลินั่ม ท็อกซิน จะนำมาซึ่งความงามที่ง่ายและรวดเร็ว แต่หากต้องแลกมากับสุขภาพในระยะยาว ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มกันเลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือความงามที่มาพร้อมสุขภาพที่ดี ซึ่งก็นับเป็นงานที่ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ได้สร้างสรรค์มาตลอดระยะเวลากว่า 1 ศตวรรษ ซึ่งในโอกาสครบรอบ 110 ปีนี้ เมิร์ซ เอสเธติกส์ จึงได้จับมือกับ ดอกเตอร์ เจอร์เกน เฟรเวิร์ต จัดสัมมนา “The Pure naked truth “BOtulinum TOXin resistance, The Beauty Threat” by Merz Aesthetics” ขึ้น เพื่อให้หญิงสาวทุกคนได้รับรู้ถึงนวัตกรรมโบทูลินั่ม ท็อกซิน ที่ไร้สิ่งเจือปน และได้สัมผัสกับเสน่ห์แห่งความงามที่แท้จริงนั่นเอง” เภสัชกรหญิง กิตติวรรณ กล่าว
ดอกเตอร์ เจอร์เกน เฟรเวิร์ต นักวิทยาศาสตร์ คนแรกของโลก ผู้คิดค้น วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โบเยอรมัน กล่าวว่า เขาได้รู้จักกับท็อกซินชนิดนี้มากว่า 30 ปีที่แล้ว ในขณะที่เขายังดำรงตำแหน่งนักวิจัยหลังปริญญาเอก เขาได้รับมอบหมายให้ทำโบทูลินั่ม ท็อกซิน ชนิดเอ มีความ บริสุทธิ์ ‘ผมภาคภูมิใจที่พวกเราประสบความสำเร็จในการพัฒนาท็อกซินที่มีความบริสุทธิ์สูง ซึ่งเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เดียวในตลาด ณ เวลานี้ ที่ปราศจากคอมเพล็กซิ่งโปรตีน และยังมีความเสถียรที่อุณหภูมิห้อง’ ‘ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ และนักชีวเคมี จึงมีความสุขที่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดี และได้นำมาใช้กับคนไข้มากกว่า 1.6 ล้านคน ในการรักษาหลากหลายรูปแบบด้วยตัวของผมเอง และมันยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นที่คนไข้ได้รับในทุกวันนี้ ซึ่งยังไม่ได้รับการรายงานว่ามีคนไข้ที่ได้รับผลิตภัณฑ์ของเราแล้วเกิดการสร้างแอนติบอดี้ต่อต้าน หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาระยะยาว ทำให้คนไข้ของเราได้รับประโยชน์จากการรักษามากที่สุด กระบวนการผลิตนั้นยังมีความพิถีพิถันควบคุมไม่ให้ท็อกซินความบริสุทธิ์สูง สูญเสียบทบาทหน้าที่ ซึ่งหมายความว่า ปริมาณเพียงน้อยนิดของท็อกซินในแต่ละหลอด #โบเยอรมัน มีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ท็อกซินอื่นๆ ที่วางขายในตลาด’
ทางด้าน นายแพทย์ดิสพงศ์ ปณิฐาภรณ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงาม กล่าวถึงสาเหตุของการดื้อโบ นั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยสามารถแบ่งเป็น 3 ปัจจัยหลัก คือ ตัวคนไข้หรือผู้รับบริการเอง พบว่าพันธุกรรมในบางรายที่ร่างกายจะต่อต้านโบทูลินุ่ม ท็อกซิน ซึ่งปัจจัยนี้เกิดขึ้นเฉพาะบุคคลและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ปัจจัยที่ 2 ผลิตภัณฑ์ ที่เลือกใช้ คุณสมบัติเรื่องขนาดโมเลกุลนั้นมีความสัมพันธ์กับการดื้อโบ กล่าวคือ ขนาดโมเลกุล โบทูลินุ่ม ท็อกซิน ยิ่งมีขนาดใหญ่ ยิ่งมีโอกาสการดื้อโบสูงขึ้น และปัจจัยที่ 3 พฤติกรรมการฉีด พบว่า ความถี่ในการรับบริการ และ โดสของ โบทูลินุ่ม ท็อกซิน ที่ฉีดในแต่ละครั้งนั้น มีความสัมพันธ์กับการดื้อโบ กล่าวคือ ผู้ที่ฉีดโบซ้ำบ่อยๆ เกินปีละ 2 ครั้ง ด้วยโดสสูงกว่า 100 ยูนิต ต่อครั้ง นั้นอาจก่อให้เกิดการดื้อโบได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นทุกท่านควรฉีดโบแต่พอดี ผลกระทบอาการดื้อโบไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่จะเป็นในรูปแบบของผลกระทบทั้งสั้น และยาว ผลกระทบระยะสั้นก็คือ การรักษาไม่เห็นผล สิ้นเปลืองยาและเงินในกระเป๋า ต้องเสียตังค์มากขึ้น ผลระยะยาวคือ หากในช่วงวัยที่เพิ่มขึ้น อาจต้องใช้ท็อกซินในการรักษาโรคบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อ ก็จะไม่สามารถใช้ได้ เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
นายแพทย์ดิสพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ยังไม่มีหนทางแก้ไขการดื้อโบ ที่ได้ผลทันที แต่หากพบแล้วแพทย์จะแนะนำให้หยุดรับบริการเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี แล้วค่อยกลับมารับบริการใหม่ ทั้งนี้ หนทางเดียวที่ทำได้ คือ “การป้องกัน” โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยก่อดื้อข้างต้นให้ได้มากที่สุด อันจะช่วยลดโอกาสการดื้อโบ เพิ่มความสวยมั่นใจให้คงอยู่ได้ยาวนาน “อยากจะแนะนำสาว ๆ ที่อยากรับบริการ ควรรับบริการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น และรับบริการแต่พอดี ไม่ควรเกินปีละ 2 ครั้ง และในแต่ละครั้งไม่ควรเกินครั้งละ 100 ยูนิต และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรเลือกที่มีขนาดโมเลกุลเล็กและบริสุทธิ์ ปราศจากคอมเพล็กซิ่งโปรตีนที่อาจตกค้างในร่างกาย และ กระตุ้นให้เกิดการดื้อต่อท็อกซิน และได้รับการรับรองมาตรฐานประสิทธิภาพและความปลอดภัย จาก อ.ย.ไทย และต่างประเทศ เช่น อเมริกา หรือ ยุโรป เห็นผลเร็ว อยู่ได้นานสูงสุด 4 – 6 เดือน ซึ่งขณะนี้ไม่มีงานวิจัยรับรองว่ามี โบทูลินุ่ม ท็อกซิน แบรนด์ใดที่ให้ผลการรักษานานกว่า 6 เดือน”
ทางด้าน นางสาวนวลักษณ์ เจริญ ผู้ประสบปัญหาดื้อโบ กล่าวว่า ตนเองเริ่มฉีดตั้งแต่อายุ 18 ปี เป็นระยะเวลา 12 ปีแล้ว และฉีดต่อเนื่องเพราะอยากให้หน้าเป๊ะ เริ่มจากปีละสองครั้ง ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นปีละสี่ครั้ง และมีการเพิ่มโดสบ้าง จาก100 ยูนิต เป็น 200 ยูนิต ซึ่งเมื่อก่อนจะไม่ทราบเลยว่าจะมีผลข้างเคียง เพราะว่ายังเด็กอยู่ตอนนั้น มาทราบตอนที่รู้สึกว่าเอ๊ะ ทำไมฉีดแล้วไม่ได้ผล กรามไม่ลง ไม่สวยเป๊ะเหมือนเดิม ก็เลยเริ่มหาข้อมูลเพิ่มขึ้น
“ตอนแรกเครียดมาก คือพอมันไม่เป๊ะ เราก็ต้องคอยดูคอยเช็คหน้าตัวเองตลอด หรือไม่ก็ต้องเจ็บตัวมากกว่าเดิม เอาอย่างอื่นมาช่วย เช่น ร้อยไหม หรือ ฟิลเลอร์ จากที่โบอย่างเดียวเอาอยู่ ก็ไม่ได้แล้วทีนี้ และคิดจะไปตรวจเลยนะคะ แต่พอเลือก โบเยอรมัน เพราะรู้ว่าดีกว่า บริสุทธิ์กว่า รู้ว่าไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่ก็คือไม่ทำให้ดื้อโบเพิ่มขึ้น ใช้ โบเยอรมัน ตอนนี้ก็ประมาณ 1 ปีแล้ว ก็รู้สึกดีขึ้น ยังไม่ต้องไปตรวจ ไม่ต้องไปเจาะเลือด ตอนนี้ก็ปรับความถี่เป็นปีละสามครั้งแทน”
“การดื้อโบ แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็จะทำให้เกิดผลแง่ลบต่อสุขภาพจิตแทน ซึ่งอาการนี้ยังไม่มีวิธีรักษาทางการแพทย์ และหากตรวจพบก็ต้องหยุดรับการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี ดังนั้นหนทางที่สามารถทำได้คือ การป้องกัน โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ รับบริการแต่พอดี และพึงระลึกไว้เสมอว่าของถูก และดีไม่มีในโลก เภสัชกรหญิง กิตติวรรณ กล่าวทิ้งท้าย