Oligio มีประโยชน์อะไร
Oligio คืออะไร
Oligio เป็นนวัตกรรมยกกระชับผิวและสลายไขมันโดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency: RF) ที่มีความปลอดภัยสูง โดยมีหลักการทำงานดังนี้
1.คลื่นความถี่วิทยุ (RF)
- Oligio ใช้คลื่นวิทยุความถี่ 6.78 MHz ซึ่งเป็นคลื่นที่มีความปลอดภัยและสามารถลงลึกสู่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Oligio ใช้คลื่น RF จะส่งผ่านความร้อนลงสู่ใต้ผิวหนัง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและกระชับขึ้น
- Oligio ยังช่วยสลายไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้กรอบหน้าชัดเจนและเรียวขึ้น
2.เทคโนโลยีที่โดดเด่น
- Oligio มีระบบระบายความร้อน (Cooling System) ที่ช่วยปกป้องผิวชั้นบนจากการถูกความร้อนทำลาย ทำให้รู้สึกสบายขณะทำและลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียง
- Oligio มีเซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิที่ผิว (Skin Temperature Tracking Sensor) ถ้าอุณหภูมิสูงเกินไปเครื่องจะหยุดอัตโนมัติ ผิวจึงไม่ไหม้เบิร์น ไม่แสบร้อนผิว
- Oligio มีเทคนิค Fast Moving Technique ซึ่งช่วยให้ผิวมีคุณภาพดีขึ้น ริ้วรอยลดน้อยลงและรูขุมขนกระชับ
3.บริเวณที่สามารถทำได้
Oligio สามารถใช้ได้กับบริเวณต่างๆ บนใบหน้า เช่น รอบดวงตา กรอบหน้า แก้ม และเหนียง
4.ผลลัพธ์ที่ได้จาก Oligio
- หลังทำ Oligio ผิวยกกระชับและเต่งตึงขึ้น
- หลังทำ Oligio ริ้วรอยลดเลือน
- หลังทำ Oligio กรอบหน้าชัดเจนและเรียวขึ้น
- หลังทำ Oligio ลดไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง
- หลังทำ Oligio รูขุมขนกระชับ
5.ความปลอดภัย
Oligio ได้รับการรับรองมาตรฐานจากทั้งในประเทศไทย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา
Oligio เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวและปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
Oligio ราคาเท่าไหร่
ราคาของ Oligio จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังนี้
1.จำนวนช็อตราคา Oligio
โดยทั่วไป ราคาจะคิดตามจำนวนช็อตที่ใช้ในการรักษา ยิ่งใช้จำนวนช็อตมาก ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้น
2.ราคา Oligio บริเวณที่ทำการรักษา
บริเวณที่กว้างกว่า เช่น ทั่วใบหน้า จะมีราคาสูงกว่าบริเวณที่เล็กกว่า เช่น รอบดวงตา หรือกรอบหน้า
3.ราคา Oligio แต่ละคลินิกหรือสถานพยาบาล
แต่ละคลินิกหรือสถานพยาบาลอาจมีราคาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชื่อเสียง ประสบการณ์ของแพทย์ และโปรโมชั่นต่างๆ
4.Oligio ราคาโปรโมชั่น
ในแต่ละคลินิกอาจมีโปรโมชั่นที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ราคาแตกต่างกัน
โดยทั่วไปแล้ว ราคาของ Oligio จะอยู่ในช่วงประมาณ 15,000 - 60,000 บาทต่อครั้ง แต่เพื่อความแม่นยำที่สุด ควรสอบถามราคาโดยตรงจากคลินิกหรือสถานพยาบาลที่สนใจ
Oligio มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
Oligio เป็นนวัตกรรมยกกระชับผิวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจทำ ดังนี้
ข้อดีของ Oligio
1.Oligio ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
Oligio ได้รับการรับรองจากทั้ง อย. ไทย และ US FDA ทำให้มั่นใจในความปลอดภัย
2.Oligio ยกกระชับผิวและลดริ้วรอย
ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวยกกระชับ เต่งตึง และลดเลือนริ้วรอย
3.Oligio ปรับรูปหน้าให้เรียว
สามารถสลายไขมันส่วนเกินบริเวณกรอบหน้าและเหนียง ทำให้ใบหน้าดูเรียวและมีมิติมากขึ้น
4.Oligio ไม่เจ็บและไม่ต้องพักฟื้น
มีระบบระบายความร้อน ทำให้รู้สึกสบายขณะทำ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ
5.Oligio ใช้เวลาน้อย
ใช้เวลาในการทำประมาณ 20-30 นาทีเท่านั้น
6.Oligio ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ
ผลลัพธ์ที่ได้จะค่อยๆ ดีขึ้นตามธรรมชาติเมื่อคอลลาเจนถูกสร้างขึ้น
ข้อเสียของ Oligio
1.Oligio ราคาค่อนข้างสูง
ค่าใช้จ่ายในการทำ Oligio อาจสูงกว่าการทำทรีตเมนต์อื่นๆ
2.Oligio ต้องทำซ้ำ
เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ ควรทำซ้ำทุก 6-12 เดือน
3.Oligio ผลลัพธ์ไม่ถาวร
ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ถาวร และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
4.Oligio ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- อาจมีรอยแดงเล็กน้อยหลังทำ แต่จะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง
- หากทำโดยแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ หรือรอยดำได้
ข้อควรระวังของ Oligio
- ก่อนทำ Oligio ควรเลือกทำกับคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- ก่อนทำ Oligio ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและรับคำแนะนำที่เหมาะสม
- ก่อนทำ Oligio ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวหรือยาที่กำลังใช้อยู่
โดยรวมแล้ว Oligio เป็นนวัตกรรมยกกระชับผิวที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย แต่ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
Oligio ทำกี่ครั้งเห็นผล
โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์จากการทำ Oligio สามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ดังนี้
1.หลังทำ Oligio ทันที
จะเห็นผลลัพธ์ประมาณ 20-30% ผิวจะดูกระชับขึ้นเล็กน้อย
2.หลังทำ Oligio 2-3 เดือนต่อมา
จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนและอีลาสตินถูกกระตุ้นให้สร้างใหม่ ผิวจะดูกระชับ เต่งตึง และริ้วรอยลดลง
3.ระยะเวลาผลลัพธ์ของ Oligio
ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล
คำแนะนำ
- เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ ควรทำ Oligio ซ้ำทุก 6-12 เดือน หรือตามคำแนะนำของแพทย์
- การทำ Oligio อย่างต่อเนื่องจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และกระชับได้นานยิ่งขึ้น
ปัจจัยที่มีผลต่อผลลัพธ์ของ Oligio
- สภาพผิวของแต่ละบุคคล ส่งผลต่อผลลัพธ์ของ Oligio
- อายุ ส่งผลต่อผลลัพธ์ของ Oligio
- การดูแลตัวเองหลังทำ ส่งผลต่อผลลัพธ์ของ Oligio
- เทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์ ส่งผลต่อผลลัพธ์ของ Oligio
ดังนั้น จำนวนครั้งที่เห็นผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและรับคำแนะนำที่เหมาะสม
Oligio vs Ulthera ต่างกันอย่างไร
Oligio และ Ulthera เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ได้รับความนิยม แต่มีหลักการทำงานและจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้
เทคโนโลยีและหลักการทำงาน
1.Oligio
- ใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency: RF) ในการส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat)
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และสลายไขมันส่วนเกิน
- มีระบบระบายความร้อน (Cooling System) ช่วยปกป้องผิวชั้นบน
2.Ulthera
- ใช้คลื่นอัลตราซาวด์แบบเฉพาะเจาะจง (High Intensity Focused Ultrasound: HIFU) ในการส่งพลังงานลงสู่ชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อที่รองรับโครงสร้างผิว
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวยกกระชับและเต่งตึงขึ้น
- มีความแม่นยำสูง สามารถมองเห็นชั้นผิวผ่านหน้าจอได้
ความแตกต่างหลัก
1.ระดับความลึก
- Ulthera ลงลึกถึงชั้น SMAS เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยมาก
- Oligio ลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมัน เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง และลดไขมันส่วนเกิน
2.ความรู้สึกขณะทำ
- Ulthera อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
- Oligio มีระบบระบายความร้อน ทำให้รู้สึกสบายกว่า
3.ผลลัพธ์
- Ulthera เน้นการยกกระชับผิวที่เห็นผลชัดเจน
- Oligio เน้นการยกกระชับผิวและลดไขมันส่วนเกิน ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
4.ความเหมาะสม
- Ulthera เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับปานกลางถึงมาก
- Oligio เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบาง ไวต่อความร้อน หรือต้องการการรักษาที่นุ่มนวล
สรุป
- หากต้องการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยมากและเห็นผลชัดเจน Ulthera อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
- หากต้องการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ลดไขมันส่วนเกิน และต้องการความสบายขณะทำ Oligio อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
Oligio vs Thermage ต่างกันอย่างไร
Oligio และ Thermage เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency: RF) เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในด้านรายละเอียด ดังนี้
เทคโนโลยีและหลักการทำงาน
1.Oligio
- ใช้คลื่นความถี่วิทยุ Monopolar RF ในการส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิว
- มีระบบระบายความร้อนที่ช่วยปกป้องผิวชั้นบน ทำให้รู้สึกสบายขณะทำ
- เน้นการยกกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
2.Thermage
- ใช้คลื่นความถี่วิทยุ Monopolar RF เช่นกัน แต่มีพลังงานที่สูงกว่า
- ส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ทำให้ยกกระชับผิวได้มากยิ่งขึ้น
- มีระบบระบายความร้อนเช่นกัน แต่ความรู้สึกขณะทำอาจแตกต่างกัน
ความแตกต่างหลัก
1.ระดับความลึกและพลังงาน
- Thermage มีพลังงานที่สูงกว่าและลงลึกกว่า Oligio
- Thermage จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก
- Oligio จะมีพลังงานที่ต่ำกว่า และทำได้บ่อยกว่า
2.ความรู้สึกขณะทำ
- Oligio มีระบบระบายความร้อนที่ทำให้รู้สึกสบายกว่า
- Thermage อาจรู้สึกอุ่นหรือร้อนเล็กน้อย
3.ผลลัพธ์และระยะเวลา
- Thermage ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานกว่า (1-2 ปี)
- Oligio ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และอาจต้องทำซ้ำบ่อยกว่า (6-12 เดือน)
4.ราคา
Oligio โดยทั่วไปจะมีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า Thermage
สรุป
- หากต้องการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยมากและเห็นผลชัดเจน Thermage อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
- หากต้องการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือมีผิวบอบบาง Oligio อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล
เขียนโดย น้องแอม ผู้น่ารัก

















