ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกาลดอัตราดอกเบี้ย โดย รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (The Federal Reserve System: The Fed) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ลงเหลือ ๒.๒๕% นับเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบทศวรรษ
องค์กรใดมีหน้าที่กำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยใน The Fed ?
The Federal Open Market Committee (FOMC) เป็นองค์กรในธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่มีหน้าที่กำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย
ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกาจัดตั้งโดย The Federal Reserve Act of 1913 ส่วน FOMC จัดตั้งโดย The Banking Act of 1933 ชื่อองค์กรก็บ่งบอกแล้วว่า มีหน้าที่ด้าน Open Market Operation กล่าวคือ มีหน้าที่ในการซื้อขายหลักทรัพย์ของกระทรวงการคลังแห่งสหรัฐอเมริกาในตลาดเพื่อดูแลสภาพคล่องในตลาดการเงิน รวมทั้งตลาดเงินตราต่างประเทศ ในกระบวนการดูแลสภาพคล่องดังกล่าวนี้ อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือสำคัญ การปรับอัตราดอกเบี้ยมีผลกระทบต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจทุกด้าน กล่าวให้ถึงที่สุด FOMC มีหน้าที่กำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกา
FOMC ประกอบด้วยกรรมการ ๑๒ คน
@ ๗ คนมาจากคณะกรรมการกลางของ The Fed
@ ๔ คนมาจาก Regional Reserve Banks (อยู่ในตำแหน่งคราวละ ๑ ปี) Regional Reserve Banks มีจำนวน ๑๒ แห่ง
@ ประธาน Federal Reserve Bank of New York (เหตุที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการประจำ เพราะตลาดหลักทรัพย์ Wall Street อยู่ในมหานครนิวยอร์ค)
คณะกรรมการจะร่วมกันเลือกกรรมการหนึ่งคนขึ้นมาทำหน้าที่ประธาน
FOMC ตามกฎหมายต้องมีการประชุมอย่างน้อยปีละ ๔ ครั้ง นับตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ เป็นต้นมา ประชุมปีละ ๘ ครั้ง
ประวัตินโยบายอัตราดอกเบี้ยของ The Fed
เมื่อสหรัฐอเมริกาเผชิญวิกฤติการณ์การเงินและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี ๒๕๕๑ ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายการเพิ่มปริมาณ (Quantitative Easing: QE) เพราะวิกฤติการณ์เศรษฐกิจดังกล่าวต้องการนโยบายการเงินแบบขยายตัว (Expansionary Monetary Policy)
ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยลงเป็นอันมาก จนเหลือ ๐.๒๕% The Fed ดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน เพราะต้องการให้ระบบเศรษฐกิจอเมริกันฟื้นคืนจากวิกฤติการณ์เศรษฐกิจดังกล่าว
นับตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ เป็นต้นมา The Fed ค่อยๆปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น
@ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ปรับขึ้นเป็น ๐.๕๐%
@ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๙ ปรับขึ้นเป็น ๐.๗๕%
@ ๕ มีนาคม ๒๕๖๐ ปรับขึ้นเป็น ๑.๐๐%
@ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๐ ปรับขึ้นเป็น ๑.๒๕%
@ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๐ ปรับขึ้นเป็น ๑.๕๐%
@ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ปรับขึ้นเป็น ๒.๐๐%
@ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๑ ยืนอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ ๒.๐๐%
@ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๑ ปรับขึ้นเป็น ๒.๒๕%
@ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๑ ปรับขึ้นเป็น ๒.๒๕-๒.๕๐%
การปรับอัตราดอกเบี้ยเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒
ในการประชุม Annual Symposium of Central Bankers ณ หมู่บ้าน Jackson Hole ณ Wyoming Mountain Jerome Powell (1953- ) ผู้ว่าการ The Fed ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ ๒.๒๕% ลดลงเพียง ๐.๒๕%
ในหมู่กรรมการ The Fed มีการถกอภิปรายกันว่า ควรจะลดอัตราดอกเบี้ยลง ๐.๕๐% หรือไม่ ในขณะที่ Donald Trump ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาต้องการให้ลดลง ๑%
Trump ต้องการให้ลดอัตราดอกเบี้ยลงมากๆ เพราะยึดการจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสรณะ Powell แข็งขืนไม่ยอมโอนอ่อนตาม กลับค่อยๆปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เพราะในช่วงปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ เศรษฐกิจร้อนแรง Powell พยายามระบายความร้อนแรงของระบบเศรษฐกิจ ทั้งที่ Trump เป็นผู้แต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา และทั้งสองล้วนสังกัดพรรค The Republican เหมือนกัน
Powell ให้เหตุผลในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ว่า เป็นเพราะมีความเสี่ยงที่สังคมเศรษฐกิจโลกจะถดถอยทางเศรษฐกิจ อีกทั้งมีภัยทางเศรษฐกิจอันเกิดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับสาธารณรัฐประชาชนจีน [BBC(2019); Partington (2019)]
การเอ่ยถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับสาธารณรัฐประชาชนจีนสร้างความโกรธแค้นแก่ Trump มาก เขาไม่ลังเลที่จะออกมาบริภาษ Powell ในวันต่อมา (Partington, 2019) มิไยว่า The Fed ลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ใจ Trump ปรารถนา ชุมชนการเงินในสหรัฐอเมริกา และ The Wall Street Journal หนุนหลัง Trump ในเรื่องนโยบายอัตราดอกเบี้ย (Wilson, 2019)
น่าเห็นใจ Powell ที่ยืนอยู่บนเขาควาย ด้านหนึ่ง เขาต้องทำหน้าที่รักษาความสงบในตลาดการเงิน ในอีกด้านหนึ่ง เขาต้องเผชิญการปองร้ายของ Trump (Hotten, 2019b) โชคดีที่ The Federal Reserve Act of 1913 ให้หลักประกันความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ประธานาธิบดีมิอาจปลดผู้ว่าการธนาคารกลางได้
ผลกระทบของการลดอัตราดอกเบี้ย
การลดอัตราดอกเบี้ย ในด้านหนึ่งมีผลในการลดสิ่งจูงใจในการออม เนื่องจากได้รับผลตอบแทนจากการออมน้อย ในอีกด้านหนึ่ง ส่งเสริมการใช้เงิน เพราะการลดลงของดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนของการกู้เงินลดลง
การลดลงของอัตราดอกเบี้ยมีผลกระทบทางการเงินระหว่างประเทศด้วย เงินทุนย่อมเคลื่อนย้ายจากประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ไปสู่ประเทศที่ยังมีอัตราดอกเบี้ยสูง
ในข้อเท็จจริง หลายประเทศได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว กระนั้นก็ตาม ยังมีประเทศที่ระดับอัตราดอกเบี้ยยังสูง ประเทศเหล่านี้จะเป็นประเทศที่รองรับเงินทุนไหลเข้า (Capital Inflow) ประเทศที่มีเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก เงินตราสกุลท้องถิ่นย่อมมีค่าแข็งขึ้น อันกระทบต่อการส่งออก